คนกินน้ำมันพราย

 คนกินน้ำมันพราย

คนกินน้ำมันพราย สยองในห้องพัก ผีเร่ร่อน ห้องพักหลอน ห้องพักผีสิง อ่านเรื่องผี หลอน สยองขวัญ

แชร์เรื่องนี้

“คนกินน้ำมันพราย”
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องสมาชิกพันทิปหมายเลข 2342473 ซึ่งเรื่องก็มีอยู่ว่า ผมเป็นเด็กบ้านนอกอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ผมเป็นลูกชายคนเดียว เนื่องจากฐานะทางบ้านผมค่อนข้างยากจน พ่อแม่จึงให้ผมบวชเรียน อยู่รับใช้หลวงตามีที่วัด ผมก็ตกลงบรรพชาเป็นสามเณร รับใช้หลวงตามี ผมจำวัดอยู่กุฏิเดียวกันกับหลวงตา ทุกค่ำคืนผมจะได้ยินบทสวดเมตตาของหลวงตามีว่า
“อิทัง สัพพะเปรตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา ขอผลบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวงขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข”

นี่เป็นเสียงสวดของหลวงตามี ซึ่งมักจะท่องบทแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้งหลังจากลืมตาออกจากการเจริญวิปัสนากรรมฐาน ทุกค่ำคืนที่แสนจะเหน็บหนาว ผมจะได้ยินเสียงแผ่เมตตาแข่งกับเสียงจิ้งหรีดเรไรท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด ทำให้ผมซึ่งนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าภายในกุฏิของหลวงตา จนผมอดไม่ได้ที่จะต้องลืมตาขึ้นมองไปยังร่างอันอ้วนท้วมของหลวงตามีไม่ได้ แวบหนึ่งที่มองไปยังเบื้องหน้าของหลวงตา ผมถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว เพราะผมคล้ายจะมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งบางอย่างซึ่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา สิ่งที่ผมเห็นเป็นรูปร่างของผู้คน ทั้งเด็กและแก่ กำลังนั่งพนมมือก้มหน้า หมอบลงกับพื้น คล้ายคนกำลังรับศีลรับพร ก่อนที่ผมจะยกมือขึ้นขยี้ตา เงาลางๆของผู้คนเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว “ทำไมไม่นอนหล่ะเณร” หลวงตามีหันมามองดูผมพร้อมยิ้มออกมาเล็กน้อยที่มุมปาก

ผมลุกขึ้นมองฝ่าแสงเปลวเทียนอันริบหรี่ ก่อนที่จะมองหาอะไรบางอย่างรอบๆกุฏิไม้เก่าที่หลวงตามีอาศัยคุ้มแดดคุ้มฝน “มองหาอะไรหล่ะเณร ไม่มีอะไรแล้วนอนเถอะ” เสียงนั้นอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาจนผมสัมผัสได้ หลวงตามีเป็นพระผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านให้ความเคารพเลื่อมใสศรัทธา เพราะท่านเป็นพระนักปฏิบัติ ไม่ยึดติดกับวัตถุหรือเลือกปฏิบัติ หลวงตาท่านมีความรู้ความสามารถในการรักษาผู้ป่วยด้วยสมุนไพรต่างๆ และเป็นหมอดูใบพลูที่แม่นยำ กุฏิของท่านจึงไม่ค่อยวางเว้นจากญาติโยมเท่าไหร่นัก พวกชาวบ้านญาติโยมต่างพากันมาขอพึ่งบารมีของท่าน ตลอดเวลาที่ผมบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแห่งนี้ ผมได้รับรู้และพบเจอเหตุการณ์มหัศจรรย์หลายอย่างยิ่งนัก บางสิ่งบางอย่างผมเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ยิ่งนานวันเข้าก็ทำให้ผมอดนึกสงสัยไม่ได้ว่า ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งมหัศจรรย์จนชวนพิศวงซุกซ่อนอยู่มากมาย และรอคอยให้พวกเราได้ค้นหาคำตอบ


บ่ายแก่ๆของวันนึง หลังจากที่ผมได้ก่อไฟต้มน้ำชาถวายหลวงตามีเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถือไม้กวาดทางมะพร้าวเดินตรงไปยังลานวัด อยู่ในขณะที่ผมกำลังลงมือกวาดเศษใบไม้ที่ลานวัดอยู่นั้น ก็มีเสียงผู้คนมากมายที่สาวเท้าวิ่งตรงมายังวัด ผมหยุดกวาดลานวัดก่อนจะหันหน้าไปมอง ก็เห็นชาวบ้านหลายสิบคนกำลังหามร่างของชายคนนึงร่างกายขาวซีด ร่างนั้นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกไม่ต่างจากซากศพดีๆนี่เอง อะไรที่ทำให้ชายคนนั้นมีสภาพเป็นเช่นนี้ นั่นเป็นคำถามที่ผมตั้งขึ้นในใจเงียบๆ”เณร หลวงตาอยู่ไหม” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินสาวเท้านำหน้าชายวัยกลางคนไปยังกุฏิของหลวงตามีทันที พอไปถึงกุฏิหลวงตาก็บอกผม
“ เณรไปเก็บใบพลูให้หลวงตาหน่อย” ผมตกใจเมื่อเห็นหลวงตาครองจีวร
และนั่งจุดเทียนอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชาราวกับรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าจะมีญาติโยมที่เดือดร้อนมาขอพึ่งบารมี


ผมทำตามคำสั่งของหลวงตาทันที รีบสาวเท้าลงกุฏิไปยังต้นพลูที่ปลูกไม่ไกลจากกุฏิมากนัก ในขณะที่ชายหนุ่มร่างผอมที่ชาวบ้านหามมาทำท่าดิ้นทุรนทุรายดวงตาทั้งสองข้างมองผู้คนอย่างตาขวางๆ
ชาวบ้านต่างช่วยกันจับตัวของชายคนนั้นขึ้นไปบนกุฏิอย่างเร่งรีบ เมื่ออยู่ต่อหน้าหลวงตาชายคนนั้นก็มีท่าทีทุรนทุรายหนักขึ้นเรื่อยๆ
ผมเก็บใบพลู9ใบตามจำนวนที่หลวงตาต้องการแล้วนำขึ้นไปให้หลวงตาที่กำลังพรมน้ำมนต์ใส่ร่างที่สั่นเทาของชายคนนั้น
เขาร้องเอะอะโวยวายลั่นกุฏิ หากไม่มีชาวบ้านช่วยกันจับ ผมเชื่อว่าชายคนนั้นคงจะวิ่งลงกุฏิหนีน้ำมนต์ของหลวงตามีเป็นแน่ ไม่นานอาการดิ้นทุรนทุรายของชายคนดังกล่าวก็สงบลง ในขณะที่หลวงตาจุดเทียนขึ้นเพ่งใบพลูพร้อมถามชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิดของชายคนดังกล่าวอย่างละเอียด การซักถามชื่อวันเดือนปีเกิดนี้เองทำให้ผมได้รู้ว่า ชายหนุ่มคนนี้ชื่อนายทรงพล วัยสามสิบกว่า


ชายคนนี้ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตานักเพราะแกเป็นคนต่างถิ่นที่บังเอิญมาได้ภรรยาที่หมู่บ้านของผม เหตุที่ผมไม่คุ้นหน้านั้นเพราะนายทรงพลไปทำงานที่เมืองกรุงเสียนานหลายปีไม่เคยกลับบ้านสักที และพึ่งได้กลับมาก็ตอนที่มีเหตุการณ์ประหลาดต่างๆเกิดขึ้นกับตัว เมื่อไม่นานมานี่เอง


“โยมโดนของ” หลวงตามีนั่งเพ่งใบพลูอยู่ครู่หนึ่งก็เปล่งเสียงอันนุ่มลึกออกมา
ทุกคนร้องตามเป็นเสียงเดียวกัน ก่อนที่ชายวัยกลางคนที่พามาจะร้องถามด้วยความอยากรู้
“ของที่ว่าเป็นของอะไรครับหลวงตา แล้วมันมาจากไหน” ชายหนุ่มคนนั้นถามขึ้น พร้อมกับเสียงเป็นกังวล
ส่วนผมเมื่อได้ฟังก็สงสัยอย่างเดียวเลยว่าหลวงตามีรู้ได้อย่างไรว่าชายร่างผอมที่นอนเหมือนผีตายซากผู้นี้โดนของมา
“น้ำมันพรายจากเขมรนะโยม” หลวงตามีเอ่ยขึ้นเรียบๆ ราวกลับพบเจอกับของต่ำๆเช่นนี้มาจนชาชินแล้ว ต่างจากญาติโยมที่พนมมือส่งเสียงอื้ออึงด้วยความตกใจ
“จริงหรือจ้ะหลวงตา แล้วจะมีอันตรายกับสามีของฉันไหมเจ้าค่ะ” คราวนี้ผู้เป็นภรรยาถามขึ้นมาบ้างในขณะที่สามีกำลังนอนหายใจรวยริน
เหน็ดเหนื่อยกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่
“ก็อาจถึงตายได้ ถ้าไม่รีบรักษาหรือถอนของออกจากตัว ไม่เป็นไร… หลวงตาจะเอาน้ำมันพรายที่ว่าออกให้เอง”
หลวงตามีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา
“นี่พี่พล โดนป้ายน้ำมันพรายอย่างเดียวหรือหลวงตา” ฝ่ายภรรยาถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
“เปล่าหรอกโยม ไม่ใช่โดนป้ายน้ำมันพรายแต่สามีของโยมถึงกับกินน้ำมันพรายเลยแหล่ะ” หลวงตามีเอ่ยปากบอก
“เอาล่ะพวกโยมจับตัวของโยมพลไว้ เดี๋ยวอาตมาจะเอาน้ำมันพรายที่อยู่ในร่างกายของโยมทรงพล ออกมาให้ดู”


เสียงของหลวงตามีสั่งอย่างเรียบๆ ก่อนจะหยิบเทียนไขขึ้นแล้วท่องบริกรรมคาถา ในขณะที่น้ำตาเทียนหยดลงในขัน ก็เกิดเป็นดอกน้ำมนต์รูปร่างคล้ายปีศาจ
ราว 10 นาทีเห็นจะได้ หลวงตามีก็พยักหน้าให้ชายวัยกลางคนที่เป็นคนพามา เอาน้ำมนต์กรอกปากนายทรงพล เมื่อนายทรงเห็นขันน้ำมนต์ที่ชายวัยกลางคนถือเข้าไปใกล้ก็ร้องลั่นทันที พร้อมดิ้นรนจะวิ่งหนี ชาวบ้านที่มาด้วยรีบช่วยกันออกแรงจับตัวไว้พร้อมจับแขนจับขาไว้กับที่ ส่วนอีกคนใช้มือบีบปาก ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะเทน้ำมนต์ใส่ปากนายทรงพบ จนร่างนั้นสั่นสะท้านพร้อมกรีดร้องออกมาก่อนจะดิ้นทุรนทุรายจนชาวบ้านที่จับอยู่สู้แรงไม่ไหวถูกผลักกระเด็นไปติดข้างฝาคนละทิศคนละทาง ผมเองก็ได้แต่สงสัยว่าผู้ชายร่างกายซูบผอมอย่างนั้นไปเอาแรงมาจากไหนมากมาย คน4-5คนถึงจับตัวไว้ไม่อยู่


ไม่นานนักนายทรงพลก็โก่งคออาเจียนออกมาเป็นมูกเลือดปนน้ำเหลือง นายทรงพลอ้วกออกมาจนตัวงอ
กลิ่นอาเจียนของนายทรงพลเหม็นเน่าสุดๆ หลวงตามี ไม่รอช้าท่านรีบหยิบขันน้ำมนต์ที่เหลือขึ้นมา
ท่องคาถา ก่อนจะพรมน้ำมนต์บนร่างนายทรงพลไม่ขาด นายทรงพลอาเจียนออกมาคราวนี้ทุกคนถึงกลับตะลึงเพราะสิ่งที่นายทรงพลอาเจียนออกมาไม่ได้มีเพียงมูกเลือดและน้ำเหลือง แต่มันมีเส้นผมยาวๆออกมาด้วยจำนวนหนึ่งพอเส้นผมกระจุกนั้นออกมาร่างกาย นายทรงพลก็ดูอ่อนแรงลงไปมากทีเดียว ผมมองร่างอันผอมบางที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูกซึ่งนอนฟุบอยู่กับแผ่นกระดานพร้อมหอบหายใจรวยริน ก่อนที่ทุกคนจะสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีลมพัดวูบเข้ามาหอบใหญ่พร้อมกับเสียงหมาวัดที่ลุกขึ้นพร้อมใจกันเห่าหอนขึ้นมาราวเห็นกับอะไรบางอย่าง

ทุกคนหันมามองหน้ากันก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาวะปกติ นายทรงพลลุกขึ้นนั่งมองผู้คนอย่างสงสัย แม้แววตาจะเลื่อนลอยไร้ชีวิตชีวาแต่ยังดีกว่าตอนมาแรกๆอยู่มากทีเดียว “สามีของฉันหายดีแล้วใช่ไหมหลวงตา” ภรรยาของนายพลถามด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง หลวงตามีส่ายหน้าไปมา ก่อนจะตอบ “ยังหรอกโยม สามีของโยมกินน้ำมันพรายไปนานมาก การที่จะเอาออกให้หมดในวันเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก โยมต้องหมั่นพาสามีของโยมมารดน้ำมนต์ดื่มน้ำมนต์ แล้วก็อาบน้ำมนต์กับหลวงตาเรื่อยๆ พร้อมกับมาทำบุญอุทิศผลบุญให้เค้าบ่อยๆอาการที่ว่าถึงจะหายไป” หลวงตามีแนะนำวิธีล้างอาถรรพณ์จากคุณไสยก่อนที่ฝ่ายภรรยาจะซักถามสามีว่าไปกินน้ำมันพรายจากไหน เพราะที่ทำงานที่เมืองกรุงก็มีแต่คนงานชาย เมื่อนายทรงพลได้สติกลับคืนมา ก็เล่าให้ภรรยาของตัวฟัง คล้ายกับสารภาพไปในตัวว่า ช่วงวันหยุดของที่ทำงาน ตนเองกับเพื่อนๆได้ชวนกันไปเที่ยวสถานบันเทิงแห่งนึง ในสถานบันเทิงแห่งนั้นตนได้รู้จักกับเด็กนั่งดริ้งก์คนหนึ่ง
และเกิดรู้สึกชอบพออย่างประหลาดนับจากวันนั้นตนเองก็อยู่ไม่เป็นสุข ต้องเพ้อหาหญิงสาวคนนั้นอยู่เป็นประจำทั้งๆที่กลับมาที่
บ้านต่างจังหวัดกับภรรยา แต่ก็ไม่เคยลืมเธอคนนั้นเลย เหมือนกับต้องมนต์สะกด


“ผู้หญิงคนนั้นต้องเป็นคนทำน้ำมันพราย ใส่เครื่องดื่มให้พี่แน่นอน” ฝ่ายภรรยาเอ่ยเสียงหม่นหมอง
แต่ก็ไม่ได้ต่อว่าต่อขานสามีให้อับอายชาวบ้านแต่อย่างใด วันนั้นกว่าชาวบ้านจะลาหลวงตากลับก็จวนเวลาทำวัตรเย็น
“ทุกอย่างล้วนเกิดจากกรรมหลวงตาก็ช่วยได้เท่านี้แหละโยม” หลวงตามีเอ่ยเบาๆ พร้อมมองตามหลังญาติโยมที่ลงจากกุฏิอย่างเร่งรีบ
คล้ายล่วงรู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรตามมาในอีกไม่ช้า นับจากวันนั้นเป็นมานายทรงพลกับภรรยาก็เที่ยวมารดน้ำมนต์มาอาบน้ำมนต์ที่กุฏิหลวงตามีแทบไม่เว้นแต่ละวัน นายทรงพลก็จะอาเจียนและมีเส้นผมติดออกมาด้วยเสมอ ร่างกายของนายทรงพลตอนนี้ดูมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าแต่ก่อนมากโข


ทั้งการพูดคุยก็ดูมีสติไม่หวาดกลัวขันน้ำมนต์ของหลวงตามีอีก นอกจากนัยต์ตาที่เลื่อนลอยในบางครั้งที่ผมเห็นแล้วต้องใจหาย ทุกอย่างดูดีขึ้นเหมือนกับว่านายทรงพลจะหายเป็นปกติ
คืนหนึ่งในขณะที่ผมจำวัดแล้ว อยู่ๆก็ต้องขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงของหลวงตามีพึมพำออกมาในความมืดสลัวคล้ายกับกำลังสนทนาอยู่กับใครสักคน เสียงหมาเห่าหอนดังลั่นวัด
ไปทั่ว ผมค่อยๆลืมตาขึ้นแล้ว.เพ่งมองออกนอกมุ้งไปยังร่างของหลวงตามี แล้วผมก็ต้องตกตะลึงเบิกตากว้าง เมื่อเบื้องหน้าของหลวงตามีในยามนี้ มีร่างของหญิงสาวคนนึง ผมยาว กำลังนั่งก้มหน้าราวกับจะรับฟังคำขอสั่งสอนของหลวงตา ท่าม
กลางแสงไฟสลัวๆของเทียนไข หน้าโต๊ะหมู่บูชาหญิงสาวนั่งเอามือคล้ำยันพื้นไว้ด้วยท้องที่บวมเบ่งของตนทำให้การนั่งนั้นแสนยากลำบาก


ผมมองดูร่างของผู้หญิงคนนั้นด้วยความตกตะลึงก่อนจะค่อยๆยกชายมุ้งขึ้นเพื่อที่จะมองหน้าผู้หญิงคนนั้น แต่ เมื่อชายมุ้งถูกยกขึ้นร่างของหญิงสาวคนนั้นก็เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาผม ตรงหน้าของหลวงตามีเเต่ความว่างเปล่าหลวงตามีมองมาทางผม ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเรียบๆขึ้น “นอนเถอะเณร” สิ้นเสียงของหลวงตามีผมรีบนอนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปรง
พยายามข่มตาให้หลับก่อนที่หลวงตามีจะดับเทียนลง ตอนสายของวันนั้นนายทรงพบไม่ได้มารดน้ำมนต์กับหลวงตาเหมือนเช่นทุกวัน
ผมก็รู้สึกสงสัยแต่ก็ไม่ได้เฉลียวใจว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นจนกระทั่งเวลาล่วงเข้าจวนเที่ยง ภรรยาของนายทรงพลจึงวิ่งร้องไห้มาที่กุฏิ
ของหลวงตามีพร้อมเพื่อนบ้านอีกหลายคนติดตามมาด้วย “เกิดอะไรขึ้นเหรอโยม” หลวงตามีถามออกไป


ภรรยาของนายทรงพลนั่งลงประนมมือบอกเล่าเรื่องร้อนใจที่เกิดขึ้นกับตนให้หลวงตามีฟังอย่างละเอียด
“สามีของฉันหายไปไหนไม่รู้เลย หลวงตา เมื่อเช้าพี่พลได้มารดน้ำมนต์กับหลวงตามั้ยจ่ะ” หลวงตามีส่ายหัว เนื่องจากนายทรงพลไม่ได้มารดน้ำมนต์จริงๆ “แล้วพี่พลหายไปไหน ที่วัดก็ไม่มาที่บ้านก็ไม่อยู่ “ ภรรยาของนายทรงพลเอ่ยขึ้นท่าทางร้อนรน ก่อนจะขอแรงของชาวบ้านให้ช่วยออกตามหาสามี แล้วสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อมีคนเห็นชายคนหนึ่งแขวนคอด้วยผ้าขาวม้า สิ้นใจอย่างหน้าเวทนา อยู่บนเมรุ พอเดินเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่านั่น คือร่างของนายทรงพลผู้โชคร้าย


ซึ่งภาพนั้นผมจำติดตาจนกระทั่งทุกวันนี้ “อาตมาพยายามช่วยโยมอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่วิญญาณของผีตายโหงตนนั้นแรงเหลือเกิน
และก็คงจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของโยมทรงพลจึงได้สามารถนำชีวิตของนายทรงพลไปอยู่ด้วยอย่างง่ายดายเช่นนี้”
หลวงตามีพูดเสียงงึมงำ ในขณะที่ชาวบ้านช่วยกันนำศพของนายทรงพบลงจากเมรุอย่างทุลักทุเล
สายลมพัดวูบเข้ามาใบไม้ในบริเวณนั้นหล่นลงพื้นตามแรงลมที่พัด เสียงหมาเห่าหอนอย่างโหยหวน
ในขณะที่ผมยืนมองศพของนายทรงพลด้วยความสลดหดหู่ใจอยู่นั้น พลันหูของผมก็ได้ยินคล้ายเสียงคนสะอื้น
ดังลอยมาตามสายลมเสียงนั้นเป็นเสียงร้องไห้ของผู้ชายที่ดังแผ่วๆอย่างเศร้าสร้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเสียงของนายทรงพล

ขอขอบคุณ สมาชิกพันทิพ

ติดตาม RedMoon ค่ำคืนสีเลือด

GhostStoryThai.com – อ่านเรื่องผีใหม่ทุกวัน

แชร์เรื่องนี้

เรื่องอื่นๆ