คนสัมผัสพิเศษ…
“”คนสัมผัสพิเศษ””
หลังจากที่ผมเรียนจบแล้ว ผมได้เป็นเด็กจบใหม่ที่มาเดินเตะฝุ่นหางานที่ กทม. ผมไปสัมภาษณ์งานหลายที่ มีทั้งรับและไม่รับ สุดท้ายได้มาจบที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านพระรามสาม ซึ่งไม่ใช่ย่านชุมชนแออัดหรือย่านเศรษฐกิจอย่างสุขุมวิทและสีลม ในวันนั้นผมได้ไปหาอพาร์ตเม้นท์เพื่อย้ายเข้าอยู่ จนไปเจออพาร์ตเม้นท์แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากออฟฟิตมากนัก แต่ว่าทางเข้าค่อนข้างลำบากหน่อย สภาพของที่นั้นคือ สร้างตึกเต็มพื้นที่ ไม่มีลานจอดรถยนต์ มีเพียงพื้นที่ใต้ตึกสำหรับจอดรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น
ในวันที่ผมย้ายเข้าอยู่บังเอิญเป็นวันอาทิตย์ แม่ก็บอกว่าค่อยย้ายเข้าอยู่วันอื่นดีมั้ย เพราะว่าวันอาทิตย์นั้น “ของแรง” แต่วันจันทร์ผมต้องเริ่มงาน
แล้ว ดังนั้น ผมจึงไม่ได้สนใจคำแนะนำของแม่ ผมย้ายของเข้าห้องและจัดห้องเอง เพราะอยู่คนเดียว บรรยากาศหลังห้องเป็นป่ารก (อีกแล้ว) ห้องของผมอยู่ชั้นสาม วันนั้นผมจำได้ว่าจัดห้องเสร็จก็ประมาณทุ่มเศษแล้ว ผมจึงไปอาบน้ำเตรียมตัวพักผ่อน และเตรียมตัวเริ่มงานในวันถัดไป เมื่อผมอาบน้ำเสร็จ ก่อนนอน ผมก็ไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางก่อนที่จะหลับพักผ่อน แต่บังเอิญว่าสถานที่แห่งนี้ ไม่มีศาลใดๆทั้งสิ้น จึงไหว้เองในห้อง นึกถึงสิ่งที่เราเคารพนับถือ
ในขณะที่ผมไหว้นั้น ผมก็เห็นมีวิญญาณผู้ชาย รูปร่างสูง หุ่นกำยำ เป็นเงามืดทะมึน เดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง แล้วก็เดินทะลุไปหลังห้องอย่างช้าๆ ราวกับว่า มาเดินดูความเรียบร้อย ผมได้แต่คิดในใจว่า ที่แห่งนี้ ทำไมไม่มีศาลเลย แต่กลับมีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่จำนวนเยอะมาก นี่คือสิ่งที่ผมสัมผัสได้ในครั้งแรกที่เข้าห้องผมพยายามไหว้จนเสร็จแล้วก็เตรียมตัวนอน ตอนนั้นประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ด้วยความหวาดกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่เคยเจอ ผมจึงเปิดไฟหรี่หน้ากระจก แล้วก็กลับมานอนบนเตียง แน่นอนว่าผมเป็นคนนอนหลับยาก กว่าจะนอนหลับเปิดเพลงฟังไปหลายเพลงจนสุดท้ายเริ่มง่วงแล้วจริงๆ จึงปิดเพลงและเคลิ้มหลับไป
พอผมเริ่มหลับ ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าผมหลับตอนไหน แต่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเพราะ…เตียงสั่น!!! มันสั่นเหมือนมีคนมาเขย่าเตียง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าแผ่นดินไหวหรือปล่าว ตอนที่อยู่ภูเก็ตนั้นก็เจอแบบนี้บ่อยๆ แผ่นดินไหวเป็นระลอกๆจนคนทั่วไปสัมผัสได้ในที่ราบ ผมจึงหยิบมือถือมาเปิดดูข่าว หาว่ามีแผ่นดินไหวหรือไม่ มองดูนาฬิกาก็ตอนนั้นก็เกือบจะเที่ยงคืนแล้ว หาไปหามาเริ่มง่วง แต่ผมก็ไม่เจอข่าวแผ่นดินไหวเลย จนประมาณเที่ยงคืนครึ่ง ผมก็ปิดมือถือและพยายามนอนหลับอีกครั้ง ครั้งนี้ด้วยความงัวเงียจึงหลับง่ายขึ้น แต่ก็ไม่นานหลังจากที่ผมหลับตาลง ผมก็สัมผัสได้ว่า มีพลังงานบางอย่างมายืนดูผมนอนอยู่ที่ปลายเตียง ผมพยายามทำเป็นไม่รู้สึกไม่รับรู้ถึงการมาของเค้า แต่ตอนนั้น ผมนอนน้ำตาไหลเพราะสัมผัสพิเศษทำงานขึ้นอีกครั้ง สักพักเค้าก็หายไป ผมจึงพยายามหลับ แต่ก็ไม่แคล้วที่จะเจออีก เตียงของผม…สั่นอีกครั้ง!!! ครั้งนี้สั่นนานและแรงขึ้นจนตอนที่ผมลืมตาตื่นขึ้นมา จึงจะหยุดสั่น ผมไม่ได้คิดไปเองใช่ไหม ผมเปิดหาข่าวดูอีกรอบ แต่ก็ไม่มีเช่นเดิม ตอนนี้ก็ตีหนึ่งกว่าๆแล้ว
ผมพยายามทำจิตใจให้ว่าง ไม่คิดถึงสิ่งใด ปิดมือถือนอนลงอีกครั้ง ครั้งนี้ผมเองก็ยังนอนไม่หลับ เพียงแค่หลับตาเท่านั้น แต่ประสาทสัมผัสอย่างอื่นยังรับรู้ได้ครบ ผมนอนอยู่อย่างนั้นไม่หลับ ประมาณอีกหนึ่งชั่วโมงผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจ ข้างหูขวา เหมือนมีคนมาพ้นลมเป่าที่หู ได้ยินเสียงชัดเจนว่าเป็นเสียงของผู้ชาย ตอนนั้นผมนอนไม่หลับแล้วแต่ก็อดทนไว้ ผมลุกขึ้นเปิดไฟให้สว่างขึ้น แล้วก็กลับมานอนเล่นมือถือ ประมาณตีสามกว่าๆจึงเริ่มง่วงนอนอีกครั้ง ผมก็ปิดมือถือแล้วพยายามนอนอีกครั้ง แต่มันก็มาอีกแล้ว ครั้งนี้มันมาเป็นเสียงครับ
มีเสียงของผู้หญิงพูดอะไรก็ไม่รู้ เเล้วเธอก็เอาผมมาฟาดบนหมอนที่ผมหนุนอยู่ ข้างหูขวา แล้วก็ลากผมของเธอลงไปจากเตียง อย่างช้าๆ จนเสียงหายไป ขนหัวผมลุกอย่างบอกไม่ถูก ผมได้แต่ร้องไห้ในใจ ว่าทำไมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วย จนผ่านไปอีกสักพัก ประมาณตีสี่กว่าๆ ผมก็ได้ยินเสียงคนเอาเล็บข่วนกับเบาะบนเตียง เสียงเหมือนค่อยๆขย้ำเบาะจนทำให้เกิดเสียงกร๊อด…. กร็อด…. เป็นระยะๆ ผมคิดถึงคำที่แม่กล่าวไว้เลยว่าอย่าย้ายเข้าวันอาทิตย์ จนผมนอนไม่หลับ ด้วยความโมโหผมจึงตะโกนออกไปว่า
“เออๆ ไม่นอนแล้วก็ได้ จะทำอะไรก็เชิญ ไม่นอนก็ไม่นอน”
ผมเลยหยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูเวลาตอนนั้นเกือบจะตีห้าแล้ว ผมรอเวลาเช้าเล่นมือถือรอไปเรื่อยๆก็ไม่เจออะไรอีก จนหกโมงเช้าผมลงไปข้างล่าง เดินหาดูศาลให้ทั่ว ก็ไม่เจอ ที่นี้ไม่มีศาลจริงๆ ในละแวกใกล้ๆก็ไม่มีเลย จึงโทรไปหาแม่ตั้งแต่เช้า เล่าให้แม่ฟังไปด้วย น้ำตาไหลไปด้วย เคยโพสลงไปเฟสบุค จนทำให้ผมเจอกับคนๆหนึ่งเข้ามาคอมเม้นท์แนะนำว่าที่เราเจอเป็นเพราะอะไร อยากรู้ก็ลองทักมาคุยดู ผมก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมาก จึงไม่ได้ทักไปหาไปสอบถามเค้าผ่านไป 1 เดือน ผมก็ไม่เจออะไรที่หอนั้นอีกเลย เจอเพียงคืนแรกเท่านั้น แต่หลังจากนั้นก็เจอวิญญาณเด็กชายอายุประมาณ 2-3 ขวบ เดินตามหลังผมขึ้นมาจากชั้น 2 แล้วก็ผมหันไปบอกก่อนที่จะถึงชั้น 3 ที่ผมอยู่ว่า “หยุดไม่ต้องตาม ห้ามตามมา” (เหมือนคนบ้าที่พูดคนเดียว) แล้วเด็กคนนั้นก็หายไป
ในคืนนั้น ผมจึงทักแชทส่วนตัวไปสอบถาม ขอคำปรึกษารุ่นพี่คนนั้นว่าทำไมเราจึงมีของพวกนี้ เค้าแนะนำมาว่า ลองไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางพราหมณ์ฮินดูบ้างหรือยัง เราอาจจะมีเชื้อสายทางนี้ก็ได้ (พี่แกพูดเหมือนรู้อะไรบ้างอย่าง) แต่ผมไม่ได้นับถืออะไรเลย จึงบอกไปตามตรงว่าไม่เคย หลังจากวันนั้น ผมก็ลองไปไหว้ดู ผ่านไปไม่นาน พี่ในที่ทำงาน เค้าเล่าว่าไปดูดวงมาผมก็สนใจและถามว่าดูที่ไหน ดูยังไง เค้าก็บอกรายละเอียดมาแล้วยื่นมาให้ดู ผมแปลกใจตัวเองว่าทำไมผมจึงเห็นภาพรุ่นพี่คนนี้ เข้าโรงพยาบาล มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง แว๊บเข้ามาในหัว ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร และไม่ได้บอกใครคิดว่าเราอาจจะคิดมากไปเอง จากนั้นไม่ถึงสัปดาห์ พี่คนนั้น เค้าเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้อง ผมไม่ทราบว่ามันบังเอิญตรงกันได้อย่างไร มันเรียกว่าเป็นเดจาวูได้หรือไม่ จนมีหลายๆครั้งที่เราเริ่มมองเห็นภาพของใครบางคนเข้ามา จนบางครั้งมันก็ค่อนข้างตรงกันเกินว่าจะเชื่อได้ เช่น ผมไปเจอรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ออฟฟิต ผมบอกเค้าว่าเดี๋ยวพี่จะต้องผ่าตัดนะครับ ด้วยความที่เค้าไม่เชื่อ เหมือนหน้าเค้าจะแสดงออกได้เลยว่าไม่เชื่อผมแน่นอน ผมก็ไม่ได้อะไร ไม่เชื่อก็แล้วแต่ จวบจนเวลาผ่านไปครึ่งเดือน ถึงเวลาตรวจสุขภาพประจำปีพอดี พี่คนนี้ไปตรวจตามปกติ หมอตรวจเจอเนื้องอกที่มดลูก ต้องผ่าตัดออกด่วน ก่อนที่จะกลายเป็นเนื้อร้าย เค้าจึงมาบอกผมว่า วันนั้นถ้าผมไม่บอกเค้า เค้าก็คงไม่ไปตรวจสุขภาพ ต้องขอขอบคุณมาก อีกกรณีหนึ่งคือ ผมได้ไปเที่ยวกับเพื่อนและรู้จักกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที ผมพูดกับเพื่อนที่เชื่อผมว่า เค้ามีดวงอุบัติเหตุทางถนน จริงๆไม่อยากทักใครมั่วๆ แต่ว่าถ้าใครร้ายแรงผมก็จะบอก (ถ้าเห็นภาพ) จนเพื่อนผมมันบอกว่าให้บอกไปเลย ผมก็บอกไป เค้าตกใจมาก เพราะว่าเค้าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาได้เพียง 3 วันเท่านั้น เนื่องจากรถชน ผมก็ยังประหลาดใจว่าทำไมผมถึงได้มองเห็นภาพเหล่านี้ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงครั้งคราว แต่จนถึงปัจจุบันนี้ผมก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าจะมาเมื่อไหร่
มีอีกเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งคือหลังจากที่ผมหลังออกจากอพาร์ตเม้นท์แห่งนั้น มาอยู่ย่านลาดพร้าว-รัชดา ผมก็ได้มีรุ่นน้องที่รู้จักกัน เค้าขอมาค้างที่ห้องผมเพราะมาจากต่างจังหวัด ครั้งแรกที่เจอผมก็ไม่ได้รับรู้อะไร เค้าเป็นเพียงคนธรรมดา แต่ว่าเมื่อผ่านไปเดือนนึง เค้ามาทำธุระอีกครั้ง ผมถามเค้าว่า ไปทำอะไรมาทำไมมีคนแก่ๆตามมาด้วย น้องตกใจและรับสารภาพว่าไปสักยันต์มา ผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงมีตาแก่ๆมายืนอยู่หน้าห้อง
ไม่เข้ามาให้ห้องที่ผมอยู่ จนน้องกลับไป ตาแก่ๆก็กลับไป สรุปคือผมก็บอกน้องไปว่า ให้ทำตัวตามปกติ อยู่ในศีลธรรมของแบบนี้ มันเป็นเหมือนสิ่งที่มาคอยคุมความประพฤติปฏิบัติให้เราทำดี หากทำชั่วของจะเข้าตัวได้
หลังจากที่เราเริ่มรู้ตัวเองว่ามีสัมผัสพิเศษและไม่นานมานี้ก็ได้พบเจอกับของประทานบางอย่าง ที่ไม่เข้าใจสักที สิ่งนั้นคือการเห็นภาพล่วงหน้า และดวงชะตาของคนผู้นั้น มีอยู่หลายคนรอบตัวที่พยายามพิสูจน์ว่าผมนั้นของจริง หรือ มโนทัศน์
ครั้นเมื่อผมได้เข้าไปทำงานในบริษัทแห่งหนึ่งย่านสีลม มีโอกาสเจอพี่เลี้ยงผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราว 29 ปี ครั้งแรกที่ผมเห็นพี่เค้านั้นใบหน้าของเค้าคือผู้หญิงคนหนึ่งที่แก่และเหี่ยว เหมือนคนอายุ 80 กว่าๆแต่ก็ไม่อยากพูดกับใครในสิ่งที่เราเห็น (ไปเริ่มงานใหม่ๆ กลัวคนหาว่าบ้า 555) จากนั้นไม่นานผ่านไปประมาณ 8 เดือน วันนั้นก็มาถึงวันที่ทุกคนในออฟฟิตรู้เรื่องของผม และวันทำงานของผมกลายเป็นวันดูดวงแทบทุกวัน พี่เลี้ยงผมเป็นคนไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ผมจึงไม่ค่อยเปิดใจกับเค้าสักเท่าไหร่ แต่วันนั้นเหลือเพียงเค้าคนเดียว แล้วพี่คนอื่นๆเค้าก็คะยั้นคะยอให้พี่เลี้ยงดูดวงกับผมจบยินยอม และก่อนดูผมก็บอกว่าขอเปิดดวงและเปิดใจยอมรับชะตาของตัวเอง อย่าลบหลู่ในสิ่งที่ผมบอก แต่ให้ฟังหูไว้หูตามพึงพิจารณา (บอกแบบนี้ทุกคน)
เริ่มจากการทำนายนิสัย ตั้งแต่เด็กจนโต และไปจนถึงเรื่องทางบ้านและครอบครัว มีภาพของบ้านของเค้าปรากฎขึ้นมาในห้วงเวลาหนึ่ง และผมก็บอกไป เค้าก็เปิดให้ดูรูปถ่ายบ้านซึ่งตรงกันกับลักษณะที่ผมบอกไป เงียบกันทั้งห้อง ทุกคนเริ่มตั้งใจฟัง คราวนี้ผมก็บอกว่าครั้งแรกที่ผมเห็นพี่ ผมเห็นพี่เป็นคนแก่คนนึง แล้วทันใดนนั้นเหมือนผู้หญิงแก่คนนั้นออกจากร่างของพี่เลี้ยงแล้วมายืนข้างๆพี่เลี้ยง แล้วหันหน้าไปมองพี่เลี้ยงของผมที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมนั้น แล้วร้องไห้ พร้อมบอกว่าคิดถึง (น้ำตาผมไหลตาม) ผมร้องไห้น้ำตาไหล และหายใจไม่ค่อยจะออก พี่เค้าเริ่มตกใจว่าเป็นอะไร ผมบอกว่า ผู้หยิงแก่คนนั้นยืนอยู่ด้านขวาของพี่ เค้ามองหน้าพี่และบอกว่าคิดถึง….. คิดถึง ประมาณสองสามครั้ง ผมรับรู้ได้ว่าเค้าอัดอั้นมากแค่ไหน แต่ผมไม่ทราบว่าเค้าเป็นใคร จึงบอกพี่เลี้ยงไปตามนั้น พี่เลี้ยงผมก็ไม่รู้จัก ได้แต่เพียงสัณนิษฐาณว่า เป็นบรรพบุรุษของคนที่บ้าน ผมเล่าให้พี่เลี้ยงฟังว่า เมื่อก่อนเค้าเป็นใหญ่เป็นโตในบ้าน จะเป็นเหมือนศูนย์รวมของบ้าน วันรวมญาติจะมีเพียงเค้าที่สามารถทำได้ แต่เมื่อบุคคลนี้ ลาจากโลกนี้ไป บ้านก็เกิดแต่ปัญหาแตกความสามัคคีกันในพี่น้อง พี่เลี้ยงมองหน้าผมแล้วบอกสั้นๆว่า…มันคือเรื่องจริง ตอนนี้ที่บ้าน ตจว. เป็นแบบนี้ พี่เลี้ยงจึงถามว่าควรทำไงได้บ้าง ผมจึงแนะนำวิธีไปตามสมควร หลังจากนั้นก็เป็นที่ฮือฮากันใหญ่ เริ่มเป็นที่รู้จักมาขึ้นแนะนำกันมาต่อเรื่อยๆ มีหลายๆคนที่เจอเรื่องราวอันไม่น่าเชื่ออีกหลายราย ตอนทำงานย่านสีลม มีรุ่นพี่อีกคนในทีมเค้าก็มาดูดวงชะตากับผมไป สิ่งที่ผมเห็นครั้งแรกคือภาพของพี่เค้านอนอยู่บนเตียง นั้นหมายความว่าผมต้องบอกเค้า จากการที่อ่านดวงชะตาของเค้าแล้ว พบว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยได้ทำบุญเลย อีกทั้งบางครั้งบุญมาหาถึงที่แล้วแต่ก็ยังเมินเฉย ด้วยความที่กรรมใดในอดีตเราไม่สามารถทราบได้ แต่เกิดมาชาตินี้เรามีโอกาสแก้ตัว ทำดีกันไว้นะครับ ผมก็แนะนำให้ไปปล่อยเต่า ตะพาบน้ำ หรือสัตว์เลื่อยคลาน ผมเตือนเค้าไปว่าให้ไปทำบุญและอย่าลืมเด็ดขาด
ด้วยอาชีพตอนนั้นเป็นพนักงานขาย จึงไม่ค่อยได้เข้าออฟฟิตเท่าไหร่นัก ประมาณอาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละไม่กี่ครั้ง จนวันนึงผมเข้าออฟฟิตแล้วเจอหน้าพี่แก เหมือนมีใครกระซิบข้างหูบอกผมว่า “บอกมันให้ไปทำบุญซะ” ตอนนั้นผมคิดในใจว่าใครกันนะ แต่ก็ช่างเหอะ ผมก็ทักถามไปตรงๆเลย ว่าพี่ยังไม่ได้ไปทำตามที่ผมแนะนำหรอครับ? สีหน้าพี่แกอึ้ง และตกใจ พร้อมกับอุทาน “เห้ยยยยยย รู้ได้ไง” ผมจึงตอบไปว่า มีคนฝากมาเตือนนะครับ ถ้าหากพี่ยังไม่ไปทำ ต่อไปพี่จะเจอกับอาการแขนขาอ่อนแรงโดยไม่มีสาเหตุ
2 วัน ผ่านไป ผมเจอพี่เค้าอีกครั้ง พี่แกก็รีบเข้ามาบอกผมว่า เมื่อวานตอนกลับบ้านด้วยรถไฟฟ้า แขนของแกจากที่จับราวเหล็กโหนรถไฟฟ้าได้ตามปกตินั้น จู่ๆก็หมดแรงทำให้ล้มลงบนรถไฟฟ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน พี่แกเลยรีบถามผมทันทีว่า ต้องทำบุญเร็วๆนี้เลยหรอ เว้นไปก่อนได้มั้ยช่วงนี้ยังไม่ว่าง ผมก็ตอบว่า เอาที่พี่สะดวกครับ แต่สะดวกตอนไหนก็ไปตอนนั้นให้เร็วที่สุดก็น่าจะดีครับ
2-3 สัปดาห์ผ่านไป หลังจากเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ ผมเจอพี่แกอีกครั้ง และผมก็รู้สึกเหมือนเดิม ครั้งนี้เหมือนมีคนเข้ามาสิงในร่างผม คือทันทีที่ผมเห็นพี่แก ผมหันไปทักถามว่า “ทำไมยังไม่ไปทำบุญ?” พี่แกเล่าด้วยอาการเหมือนคนสำนึกผิดว่า พี่กลับบ้านไป พี่ก็ลืมไปเลย พี่ขอโทษที่ไม่เชื่อฟัง แล้วผมก็บอกเค้าว่า นี่เค้าให้ผมมาบอกพี่ถึง 2 ครั้งแล้วนะครับ ครั้งหน้าถ้าต้องเตือนกันอีกผมไม่รู้จริงๆว่าจะเป็นยังไง
5 วันผ่านไป ผมทราบข่าวมาว่า พี่แกเจออุบัติเหตุจากอาการขาอ่อนแรง ทำให้ล้มตกบันไดเป็นแผลลึกไม่สามารถมาทำงานได้ประมาณ 2-3 วัน ผมจึงแอบย้อนกลับไปคิดว่า ทำไมกันนะเตือนแล้วไม่ฟัง แล้วใครกันนะที่เป็นคนมาบอก อาจจะเป็นคนที่คอยคุ้มครอง หรือเจ้ากรรมนายเวรของเค้า หลังจากที่พี่แกหายแล้วก็กลับมาทำงานตามปกติ จากนั้นก็เจอกันที่ทำงาน พี่แกบอกว่าครั้งนี้พี่จะกลับไปบ้านที่ ตจว. แล้วพี่จะทำให้นะ พี่จะไม่ลืมแล้ว ฝากบอกเค้าด้วยนะครับ ว่าพี่ขอโทษจริงๆ
ยังมีอีกหลายเคสที่เห็นภาพของคนรู้จัก และเราได้บอกกล่าวไปยังคนที่เชื่อ หลายคนก็กลับมาขอบคุณที่ให้คำแนะนำมากมาย บางคนได้ระมัดระวังตัวก่อนเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ซึ่งผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำเมื่อไหร่ รู้แค่เพียงว่า มันอาจจะเกิดขึ้นจึงเตือนไปยังคนที่เชื่อ
เคสนี้เป็นเคสของพี่ในออฟฟิต มีโอกาสมาตรวจดวงชะตากับผมซึ่งบอกตามตรงว่าพี่เค้าไม่เชื่อผมสักเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่ผมทำนายนั้น ผมเห็นการผ่าตัดในลำไส้ มันเป็นอะไรสักอย่าง เราก็ไม่ได้เป็นหมอจึงบอกไม่ถูก เกริ่นไปเพียงแค่นั้น แต่ด้วยอาการของพี่แกไม่เชื่อผม ผมก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็ถึงวันตรวจสุขภาพประจำปีของออฟฟิตแล้ว เดี๋ยวลองตรวจดูว่าจะเป็นปกติหรือไม่ และวันตรวจสุขภาพก็มาถึงทุกคนในออฟฟิตต้องเข้าการตรวจ แน่นอนว่าพี่แกก็ตรวจด้วย และที่น่าตกใจคือ ตรวจพบก้อนเนื้อในลำไส้ใกล้กับมดลูก หรือที่เรียกว่า ก้อนซีส ตอนนั้นไม่มีข่าวคราวใดๆจากพี่แกทั้งสิ้น จนผ่านไปสัปดาห์นึง พี่แกก็มาลาป่วยเพราะต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน ก่อนที่จะกลายไปเป็นเนื้อร้าย สรุปว่าพี่แกก็ลาป่วยไปประมาณเดือนนึงเต็มๆ
เคสถัดมา เป็นพี่คนนึงที่รู้จักกัน ผมทักไปว่าช่วงนี้กลับบ้าน ตจว บ่อยแค่ไหน เพราะพี่มีดวงเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ จากท้องถนนในเวลาอันใกล้นี้ ให้ระมัดระวังไว้เยอะๆนะครับ เพราะจะได้กลายเป็นเบา จนประมาณหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปพี่แกก็มาทำงานพร้อมด้วยแผลถลอกตามแขนและขา แกบอกว่ามีรถตัดหน้าเลยขับรถล้มทั้งสามคนพ่อแม่ลูก บังเอิญมากวันนั้นที่พี่แกใส่เสื้อผ้ามิดชิด เลยไม่เกิดแผลใหญ่ๆหลังจากที่พี่ในออฟฟิตก็ไล่ตรวจดูกันครบแล้ว ก็มีเสียงบอกต่อกันปากต่อปาก คราวนี้ก็ข้ามออฟฟิตและกระจายไปยังคนรู้จักบอกกันอีกที ก็ตรวจดวงชะตาตามปกติ หลายคนก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเจออยู่นั้นคืออะไรก็มาปรึกษา
ตอนนั้นพอเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นยังไงก็เริ่มที่จะปรึกษากับทางบ้านและญาติๆ ว่าที่เราเป็นแบบนี้มีใครเป็นอีกบ้าง ก็ได้ทราบว่าญาติฝ่ายพ่อจะมีคนที่สัมผัสถึงพวกนี้อยู่มิใช่น้อย นั้นไงมาทางสายเลือดนะเนี้ยะ ครั้นประมาณกลางปี 59 ผมก็ได้ฝันถึงบ้านเรือนไทยข้างบ้านของย่า เป็นบ้านร้างเก่าๆ ก่อนจะเปิดให้เช่าอยู่และลูกพี่ลูกน้องของผมก็ย้ายเข้ามาอยู่ เพราะเห็นว่าอยู่ใกล้ๆกับบ้านย่า สิ่งที่ผมฝันคือ บ้านหลังนั้นมีเด็กคนนึงที่ทำแท้งหรือเสียชีวิตแรกเกิด ฝังไว้ใต้บันไดทางขึ้นของบ้าน เด็กคนนั้นเป็นเด็กผู้ชายดัวแดงดำ ลุกเดินขึ้นไปบนบ้านหลังนั้น ผมจึงโทรกลับไปหาแม่ แม่จึงบอกว่ามีลูกพี่ลูกน้องอยู่ก็ปกติดีนะ (ตอนนั้นลูกพี่ลูกน้องเค้ายังไม่ได้เล่าอะไรให้แม่ฟัง) ผมจึงไม่คิดอะไร และผ่านไปไม่นานนัก ผมก็ได้ฝันถึงเด็กคนนั้นอีก ฝันว่าเด็กคนนั้นมาวิ่งเล่นในบ้านหลังนั้นคราวนี้ ก็โทรไปหาแม่อีก แม่จึงตัดสินใจไปถามลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ในบ้านหลังนั้นลูกพี่ลูกน้องเล่าให้แม่ฟังว่า ลูกของเค้าเหมือนจะเป็นเด็กพิเศษ สามารถสัมผัสถึงสิ่งลีลับได้ดี ล่าสุดน้องได้นั่งเล่นกับใครก็ไม่รู้แต่น้องบอกว่าเล่นกับน้องผู้ชาย เค้าอยู่บ้านหลังนี้มานานแล้ว จนแม่ต้องรีบโทรกลับมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็ตกใจที่เป็นแบบนั้น จนผมฝันอีกครั้งนึง เด็กคนนั้นเดินตามลูกพี่ลูกน้องของผมแล้วชี้ไปหาลูกพี่ลูกน้องแล้วเรียกแม่ ผมรู้ทันทีว่าอยากไปเกิดเป็นลูกของคนนี้ ในตอนนั้นผมเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าท้องอ่อนๆอยู่และเค้าก็รู้แล้วว่าจะมาเกิดเพราะเด็กคนนั้นได้บอกน้องที่เป็นลูกของ ลูกพี่ลูกน้องของผมว่า ขอมาเกิดเป็นลูกของแม่อีกคนได้มั้ย เพราะรู้สึกชอบถูกใจมาก อยากเล่นด้วยกันอีก
ตั้งแต่ท้องก็ไม่เจอเด็กคนนั้นอีกเลย จนคลอดและอายุประมาณขวบเศษ ผมมีโอกาสเจอเด็กคนนี้ตัวเป็นๆครั้งแรก ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนี้ผิวดำแดง ซนมาก เด็กผู้ชาย ตรงตามที่ฝันทุกอย่าง ก็นับว่าเป็นฝันที่เหลือเชื่ออย่างนึงสำหรับตัวผมเองข้ามผ่านมาก่อนสงกรานต์ปี 60 ผมมีโอกาสกลับบ้านไปทำบุญกับทางครอบครัวของพ่อ เจอลุงป้าน้าอาพี่น้องเยอะมากๆ ตอนนั้นญาติบางคนเท่านั้นรู้ว่าผมมีสัมผัสพิเศษอะไรพวกนี้แต่แล้วเมื่อถึงวันทำบุญบ้าน ญาติจะจัดเตรียมของไหว้บรรพบุรุษมาเจอลูกๆหลานๆ เป็นประจำทุกปี เพื่อขอพรตามความเชื่อ ตอนนั้นทุกคนก็จุดธูปไปไหว้เรียงตามคิวและความอาวุโสของบ้าน ผมเป็นคนเกือบท้ายๆของบ้านเพราะเป็นหลาน จึงไปไหว้ตามที่ญาติๆได้ตั้งไว้ ในช่วงที่ผมไหว้อยู่นั้น หางตาขวาผมก็มองออกไปที่หน้าต่าง ผมเห็นเป็นผู้หญิงคนนึง รูปร่างดี ค่อนข้างสวย แต่สายตาและน้ำเสียงคับแค้นพูดพร้อมกับอาการตาแดงก่ำและก้มหน้าเล็กน้อยกับผมว่า …แล้วของกูล่ะ? ……..แล้วของกูล่ะ? ……………..แล้วของกูล่ะ? ทุกครั้งที่เค้าพูดมันออกมา
เป็นเสียงพงึมพงำอยู่ในลำคอแบบคนที่โกรธจัด และเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องรีบปักธูกที่ถืออยู่แล้วลงจากบ้าน พร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองเต็มหน้า ผมพูดตรงนั้นเลยว่า มีอยู่คนนึงเราไม่ได้ให้เค้า อยากให้ใครที่รู้จักเค้าหรือไปเอาเค้ามาอยู่ด้วยนั้นทำให้เค้าด้วย ปรากฎว่าก็เป็นน้องคนนั้นเองซึ่งเป็นลูกของลูกพี่ลูกน้อง ที่สื่อได้ ก็บอกให้เอาธูปไปไหว้พร้อมบอกกล่าวเค้าว่าให้รับของเซ่นไหว้ด้วย จากนั้นเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น น้องก็ร้องไห้หนักขึ้นเรื่อยๆ ร้องไห้พร้อมเริ่มกรี๊ดและพูดแค่เพียงว่า “ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว” ผมรีบดึงธูปที่มือไปปักแล้วป้าผมก็เอาพระมาคล้องคอให้น้องจนสลบไป สักพักใหญ่ๆ อาการถึงจะดีขึ้นและไม่พูดไม่จากับใครเลยในวันนั้น นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ผมได้เห็นกับตาตัวเอง นี้แหละที่เป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษอีกคนนึงที่ค่อนข้างแตกต่างออกไปตรงที่ สัมผัสได้ในสิ่งที่คนอื่นจะสัมผัสกันไม่ได้
ขอขอบคุณ สมาชิกพันทิพ
ติดตาม RedMoon ค่ำคืนสีเลือด