คืนนอนป่า(ช้า)
“คืนนอนป่า (ช้า)”
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์สมัยผมเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แล้วได้ไปสมัครเรียนต่อชั้นมัธยมตอนต้น แต่ผมไปสมัครเรียนช้ากว่าคนอื่น ทำให้โรงเรียนใกล้ๆบ้านปิดรับสมัครนักเรียนไปหมดแล้ว ผมจึงต้องตระเวนหา โรงเรียนที่ยังไม่ปิดรับสมัครนักเรียน หรือโรงเรียนที่มีการเปิดรับสมัครนักเรียนรอบ 2 จนกระทั่งผมได้ไปเจอ สถาบันแห่งหนึ่งที่เขาเปิดรับสมัครนักเรียนรอบสองพอดี แต่สถาบันแห่งนี้อยู่ไกลจากบ้านผมประมาณ 8-9 กิโลเมตร ผมจำใจต้องสมัครเข้าเรียนที่สถาบันโรงเรียนแห่งนี้แบบคนหมดทางเลือกแล้วจริงๆ
โรงเรียนแห่งนี้ประกาศวันปฐมนิเทศเรียบร้อยแล้ว ผมจ่ายค่าสมัครและได้รู้กำหนดการเปิดเรียน แล้วก็กลับบ้านโดยนั่งรถโดยสารไป และต้องใช้บริการรถโดยสารประจำทางแบบนี้ต่อไปอีก 3 ปีแน่ ๆ แค่คิดก็น่าเบื่อแล้ว ผมไม่ชอบเรียนหนังสือผมชอบทำงานมากกว่า แต่กฎหมายบังคับให้เยาวชนทุกคนต้องเรียนหนังสือขั้นต่ำคือมัธยมศึกษาตอนต้น ผมจึงต้องเรียน และแล้ววันปฐมนิเทศอันน่าเบื่อก็มาถึง เด็กนักเรียนจากทั่วสารทิศหลากหลายโรงเรียน ก็มารวมตัวกันที่แห่งนี้ที่เดียว ไม่มีใครคุ้นหน้าคุ้นตาผมเลยเพราะเพื่อนๆผมต่างก็พากันเข้าโรงเรียนใกล้ๆบ้านหมด หรือไม่ก็พากันไปเรียนโรงเรียนดีๆดังๆในตัวจังหวัด ทำให้ผมยิ่งเซ็งหนัก เพราะเหลือแค่ผมคนเดียวที่มาเรียนโรงเรียนในป่าแห่งนี้ โรงเรียนแห่งนี้ด้านหน้าติดถนนลาดยางด้านข้างเป็นแม่น้ำเล็กๆที่มีคนพายเรือหาปลากันชุกชุม อีกข้างหนึ่งเป็นสวนยางพาราที่กินบริเวณกว้างใหญ่มากๆ ด้านหลังของโรงเรียนเป็นพื้นที่ของวัดซึ่งส่วนใหญ่เป็นป่าและป่าช้า
เมื่อถึงเวลาอันสมควรซึ่งเป็นเวลาตอนเย็น ครูท่านนึงเรียกนักเรียนใหม่ทุกคนไปรวมตัวกันใต้อาคารแห่งนึง ที่มีพื้นที่โล่งกว้าง และสั่งให้นักเรียนทุกคนนั่งลง นักเรียนทุกคนนั่งลงกับพื้น การมาปฐมนิเทศน์ที่โรงเรียนแห่งนี้นักเรียนทุกคน ต้องพักค้างแรมที่โรงเรียนเพื่อทำกิจกรรมอื่นๆที่โรงเรียนกับรุ่นพี่ แต่เนื่องจากนักเรียนที่เข้ามาสมัครทั้งรอบแรกและรอบ 2 มีมากเกินกว่าที่ทางโรงเรียนจะจัดที่นอนให้นักเรียนได้ครบทุกคน ดังนั้น จึงต้องมีอาสาสมัครเสียสละไปนอนที่อื่น ซึ่งคุณครูไม่ได้บอกว่าไปนอนที่ไหน และสถานที่นอนเป็นอย่างไร คุณครูบอกแค่ว่าเป็นสถานที่ที่มีความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องมานอนเบียดกันในห้องเรียน เมื่อครูพูดจบ ครูก็ขอนักเรียนที่สมัครใจไปนอนที่อื่นที่ครูจัดเตรียมไว้ให้ ยกมือขึ้น ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด แต่ที่พักที่ครูเสนอมามันน่าสนใจ เพราะผมเบื่อกับการใช้ชีวิตร่วมกับคนมากมาย มันวุ่นวาย ผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงประมาณนั้น
ผมจึงยกมือเป็นคนแรกเมื่อมีคนเปิดก็ต้องมีคนตาม มีนักเรียนชายอีกหลายคนยกมือขึ้นมาตามผมทีละคนสองคน รวมกันได้ 20 คนพอดิบพอดี ครูจึงบอกให้พวกเราทั้ง 20 คน ลุกขึ้นและไปเข้าแถวรอรถที่หน้าเสาธง ผมนึกในใจ “ถึงขนาดต้องขึ้นรถไปหาที่นอนเลยหรอ สนามฟุตบอลก็มี ปูเสื้อนอนในสนามฟุตบอลก็ได้มั้ง”หลังจากพวกเราทั้ง 20 คนมายืนรอรถที่หน้าเสาธงตามที่คุณครูบอก เพื่อนคนอื่นๆก็เข้ามาทำความรู้จักกัน ผมก็พูดเออออตามเค้าไป บอกชื่อยิ้มตอบแล้วก็จบ เพราะมันไม่ใช่ทางของผม ผมชอบอยู่คนเดียวเงียบๆมากกว่า สักพักก็มีรถคันหนึ่งมาจอดหน้าพวกเรา ภายในรถมีพระสงฆ์ 3 รูปที่นั่งอยู่ และที่ท้ายรถมีกลดของพระอยู่เต็มไปหมด ชัดเลยพวกเราต้องนอนป่าช่้าแน่ๆ นักเรียนทั้ง 19 คนรวมทั้งผมทุกคนต่างมองหน้ากันเลิกลัก ผมเห็นดังนั้นจึงหัวเราะขึ้นมา
ทุกคนก็หัวเราะตามและพูดแซวกันไปมา ทำให้บรรยากาสมันผ่อนคลายความกังวลต่างๆลงได้บ้าง แล้วพระ3รูปก็ลงมาจากรถ พร้อมบอกให้พวกเราทั้ง20คน เลือกกลดไปคนละนึงชุด กลดนึงชุดมีด้ามไม้ไผ่เหมือนร่ม มีมุ้งและเสื่อ เมื่อพวกเราได้กลดครบทุกคนแล้ว พระท่านก็บอกให้พวกเราทุกคนเดินตามท่านไป พระ3รูปเดินนำหน้าพวกเราไปหลังของโรงเรียน ชัดเลย! ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานที่ที่พวกเราต้องไปปักกลดนอนในคืนนี้คือป่าช้าอย่างแน่นอน ทุกคนเงียบกริบไม่มีใครเอ่ยปากถามอะไร ได้แต่เดินตามไปอย่างว่าง่าย พวกเราเดินตามพระทั้ง3รูปมาเรื่อยๆบรรยากาสต่างๆเริ่มเงียบ วังเวง น่ากลัว มืดมิด ไม่มีแสงไฟ แม้แต่ไฟฉายก็ยังไม่มี และยุคนั้นก็ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ
มีเพียงพระ3รูปที่ถือตะเกียงน้ำมันก๊าด บนเส้นทางดินเล็กๆที่รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ พวกเราเดินมุ่งตรงไปยังป่าทึบ ที่มันมืดมากๆไม่มีแม้แต่แสงดวงจันทร์ พวกเราเดินกันมาประมาณครึ่งชั่วโมง พระท่านก็ชี้บอกจุดที่จะให้พวกเราปักกลดของแต่ละคน ผมได้ใกล้ทางเดินที่สุดแต่ไกลจากพระ 3 รูปนั้นที่สุดเลย ในสถานที่แบบนี้การได้ปักกลดใกล้กับพระสงฆ์ทั้ง 3 นั้น ผมว่ามันน่าจะอุ่นใจที่สุด พระท่านก็สอนวิธีปักกลด และการเก็บให้พวกเราทุกคนดู ซึ่งมันก็ทำได้ไม่ยากเลย แต่สำหรับลูกคุณหนูก็คงจะลำบากหน่อย ผมเคลียพื้นที่ที่มีหญ้าระดับหัวเข่าด้วยการเดินเหยียบ เมื่อทุกอย่างโอเคก็จัดการปูเสื่อและปักกลดตามที่พระท่านสอน วางกระเป๋าเป้ที่ใส่ของใช้จำเป็นสำหรับ 1 คืนพิงไว้กับกลด แล้วนั่งลงบนเสื่อพร้อมกับกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นเพื่อนๆแต่ละคนก็กำลังปักกลดกันอย่างตั้งอกตั้งใจ กลด ของแต่ละคนอยู่ห่างกันประมาณ10 กว่าเมตร
ซึ่งในบรรยากาศและสถานที่แบบนี้ถือว่าไกลมาก จนแทบมองไม่เห็นกันเลย นอกจากตอนลมพัด แล้วยอดไม้มันไหวตามแรงลม ก็พอทำให้แสงจันทร์ส่องลอดลงมาถึงพื้นได้ ทำให้พอจะมองเห็นเพื่อนๆได้อยู่บ้าง เมื่อพวกเราทุกคนปักกลดเสร็จ พระท่านก็บอกให้พวกเราฝึกนั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ อย่าวอกแวก ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไร ห้ามลืมตาขึ้นมาดู ให้ภาวนาอยู่ในใจ หายใจเข้าพุธหายใจออกโท เมื่อบอกให้ลืมตาได้เมื่อไหร่ค่อยลืมตา ผมก็ทำตาม แต่ตอนนี้รู้สึกว่าการเปิดตาและปิดตา ความมืดมันแทบไม่แตกต่างกันเลย พอนั่งไปได้สักพัก อยู่ๆก็เริ่มมีลมพัดแรงมากๆ เสียงกิ่งไม้แห้งหักหล่นลงมากับพื้น เสียงใบไม้ปลิวไปมาตามแรงลม จนผมจับต้นชนปลายไม่ถูกเลยว่าอันไหนเสียงใบไม้อันไหนเสียงคนเดิน
อยากจะลืมตาขึ้นมาดูแต่ใจก็ไม่กล้าพอ อากาศในตอนนี้ก็เย็นนะแต่ทำไมผมถึงเหงื่อออกทั้งตัว นั่งนึกอยู่ในใจได้สักพัก จู่ๆก็มีลมมาเป่าที่หู เหมือนกับว่ามีใครมาหายใจรดต้นคออยู่ข้างๆ แต่ผมไม่กล้าเปิดตาดูแล้วก็มีเสียงคนคุยกัน ประมาณ 3-4 คนแบบจับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไรกัน เสียงคุยกันนั้นมันดังอยู่ข้างหลังของผม มีเสียงคนเดินผ่านข้างหน้าบ่อยขึ้น ในใจก็คิดว่าคงเป็นพระ 3 รูปนั้นแหละ
ที่เดินตรวจตราพวกเรา แต่แล้วพิธีนั่งสมาธิก็ล่มลง เมื่อจู่ๆฝนก็เทกระหน่ำลงมา ทำให้พระท่านบอกให้พวกเรากางมุ้งและเข้านอน กลดนี้ดีมากๆ สามารถกันน้ำฝนที่กระเด็นมาได้ด้วย ผมล้มตัวลงนอนใช้กระเป๋าเป้มาหนุนแทนหมอน แปลกที่แปลกทางแบบนี้ ทำไมผมถึงรู้สึกง่วงได้ ผมทำท่าเคลิ้มจะหลับ แล้วผมก็ต้องสะดุ้งตื่น
เมื่ออยู่ๆก็มีคนเปิดมุ้งของผมเข้ามา ” นายๆ เราขอนอนด้วย “เพื่อนนักเรียนคนหนึ่งเปิดมุ้งผมเข้ามานั้นเอง มือเขาถือไฟฉายขนาดเล็กมาด้วย เขาบอกว่า กลดของเขานอนไม่ได้ เพราะมีคนมาเขย่าตลอด พอออกไปดูก็ไม่มีอะไร ได้ยินแต่เสียงคนคุยกัน และหัวเราะเบาๆอยู่ตลอด รู้สึกจะเป็นบ้าเลยทีเดียว ผมก็ขยับให้เขานั่งอีกฝั่งหนึ่ง เพราะกลดนี้สามารถนอนได้ถึง 2 คน ไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรต่อ เพื่อนนักเรียนอีก 2 คนก็วิ่งมุดมุ้งของผมเข้ามา และบอกว่าผีหลอกกลางสายฝน ตอนนี้กลดของผมมีเพื่อนนักเรียนรวมทั้งตัวผมถึง 4 คน พวกเรานั่งหันหลังชนกัน เพื่อนๆบอกว่า ขอนั่งหลับในนี้แหละ ไม่กล้ากลับไปนอนกลดของตัวเองอีกแล้ว ฝนก็ยังคงตกไม่หยุด พวกเรานั่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของแต่ละคนให้ฟังกัน มีเพียงไฟฉายดวงเล็กๆเพียงดวงเดียวที่ทำให้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ตอนที่พวกเรานั่งคุยกันอยู่นั้น ก็มีคนเอาไม้มาเคาะรอบกลด พอเปิดออกไปดูก็ไม่เห็นมีใครมีแต่เสียงหัวเราะ บางครั้งก็มีคนดึงเสื่อ จนพวกเรา 4 คนเลื่อนตามแรงดึงไป ทุกคนช่วยกันจับมุ้งแต่ละมุมไว้แน่น บางคนถึงกับท่องบทสวดมนต์กันเลย มีทั้งเสียงกรีดร้อง และเสียงหัวเราะปนกันไปหมด ท่ามกลางสายฝนที่ยังตกอยู่ไม่หยุด จะตะโกนเรียกใครก็ไม่กล้า จนกระทั้งพวกเราเผลอหลับไปทุกคนตอนไหนก็ไม่รู้ และตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดเพราะได้ยินเสียงพระท่านมาปลุก พวกเราออกมาจากกลด มองไปรอบๆก็เห็นว่าแทบทุกกลดว่างเปล่า เพื่อนแต่ละคนไปรวมกันอยู่ 1กลดต่อ 4 คนทุกกลดเลย และบริเวณที่พวกเรานอนก็คือหลุมฝังศพ บางหลุมก็ถูกขุดไปแล้วบางหลุมก็ยังใหม่ๆ มีเครื่องเซ่น ธูป เทียนตั้งไว้อย่างดี มีป้ายชื่อเจ้าของหลุมปักไว้แทบทุกหลุม ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืน ทำไมเสียงที่พวกผมได้ยินถึงฟังไม่รู้เรื่อง และทำไมได้ยินเสียงคนเดินเหมือนอยู่ตลาดตลอดเวลา เหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว แต่ผมยังจำได้ไม่ลืมเลือน
ขอขอบคุณ สมาชิกพันทิพ
ติดตาม RedMoon ค่ำคืนสีเลือด