รีบออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะ…

รีบออกไปจากบ้านนี้ ห้องพักหลอน ห้องพักผีสิง อ่านเรื่องผี หลอน สยองขวัญ
“รีบออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะ”
เมื่อผมขึ้นชั้นปีที่ 2 ผมและเพื่อนที่สนิทกันได้ย้ายไปอยู่บ้านเช่าหลังหนึ่งบริเวณใกล้กับมหาวิทยาลัย แต่ก่อนที่จะย้ายออกจากหอพักในของมหาวิทยาลัย ผมและเพื่อนได้ช่วยกันหาที่อยู่ แต่แล้วหลายอย่างก็ไม่เอื้ออำนวยให้ไปอยู่ ผมกับเพื่อนแยกกันไปตระเวนหาบ้านเช่าเพื่ออยู่อาศัย หลังแรกที่ผมไปดูกับเพื่อน เป็นบ้านที่มี 2 ชั้น เป็นทาวน์โฮมที่อยู่ติดกัน คล้ายๆเป็นกึ่งชุมชนขนาดย่อมๆ ในวันบ่ายวันนั้นผมบังเอิญเจอประกาศบ้านเช่าหลังนี้ จึงติดต่อไปยังเจ้าของว่าอยากดูภายในบ้าน เจ้าของบ้านบังเอิญฝากกุญแจไว้กับคนข้างบ้าน ผมกับเพื่อนไอ้ภพ จึงไปดูบ้านในคืนนั้นเลย ผมไปถึงบ้านหลังนั้นประมาณทุ่มเศษ ภายในบ้านมืดสนิท เพราะมีกันสาดบังอยู่ มีเพียงแสงไฟถนนเท่านั้นที่ส่องเข้ามาในบ้าน ซึ่งเพียงพอที่จะมองเห็นอะไรภายในบ้านอย่างสลัวๆ ผมกับเพื่อนเปิดบ้านดูกันสองคน คนที่รับฝากกุญแจไม่มาด้วย เพราะอะไรผมก็ไม่รู้ ผมจึงรีบเดินหาสวิตซ์ไฟ เปิดแสงสว่างทั้งบ้านด้วยความหวาดระแวงสิ่งลี้ลับจะโผล่มา ผมกับภพ จึงเดินขึ้นไปสำรวจชั้นบนก่อนเป็นลำดับแรก ด้านบนมี 3 ห้องนอน และห้องน้ำที่กว้างขวางมาก เมื่อสำรวจดูแล้วว่าทุกอย่างปกติ ก็กลับลงมาด้านล่าง สำรวจดูความเรียบร้อยต่อ ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ด้านล่างเป็นพื้นที่โล่ง ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ใดๆเลย ผมจึงปิดไฟเตรียมปิดบ้าน ในระหว่างที่ผมปิดบ้านนั้น ผมมองทะลุผ่านประตูกระจกเลื่อนไปยังกลางบ้าน ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทั้งตัว ผมเห็น!ผู้หญิงผมยาวชุดขาว ยืนอยู่กลางบ้าน ผมจึงรีบปิดกุญแจประตูล็อคให้เสร็จเรียบร้อย ทันทีที่ผมบิดกุญแจล็อคประตูเสียงดัง “ก๊อก” น้ำตาผมไหลออกมาทันที แทบจะล้มลงทั้งยืนอยู่ตรงนั้น ภาพที่ผมเห็นตรงหน้าคือ เค้ามายืนประชันหน้ากับผม เค้ามองหน้าผม และพยายามสื่อสารว่า เดี๋ยวเค้าจะทำให้เราได้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้แน่นอน ไม่ได้ไปอยู่ที่อื่นหรอก ผมรีบเดินออกไปลากเพื่อนที่ยืนรออยู่หน้าประตูเลื่อนเหล็กทางเข้าโรงจอดรถแล้วบอกว่า
“เรารีบออกไปจากบ้านหลังนี้กันเถอะ!!!”
แล้วรีบนำกุญแจไปคืนคนข้างบ้าน แต่ไม่ได้เล่าให้เพื่อนฟังว่าที่ผมรีบแบบนั้นเพราะอะไร
หลังจากนั้นสองวัน พวกเราก็มาลงมติกันว่าบ้านหลังไหนมีลักษณะอย่างไร เพื่อนเล่าว่า บ้านหลังแรกที่อยู่บริเวณหลังมหาวิทยาลัยมีสองห้องนอนและมีห้องน้ำเดียว และบ้านหลังที่สองในบริเวณเดียวกันนั้นมีสภาพบ้านที่น่าอยู่ แต่ไม่มีพื้นที่สำหรับจอดรถ ส่วนบ้านหลังที่สามนั้นอยู่ห่างไกลออกไปพอสมควรจึงตัดทิ้งไป สุดท้ายเพื่อนลงมติว่างั้นไปดูบ้านหลังที่ผมไปดูมากันดีกว่า ผมขับรถนำไปจนถึงบ้าน ครั้งนี้คนข้างบ้านมาเปิดประตูให้ แต่ก็ไม่ได้เข้าไปในบ้านเช่นเดิม พร้อมกับบอกพวกผมว่า “วันนี้ก็มีลูกค้ารายอื่นที่สนใจเหมือนกัน ถ้าเราสนใจรีบวางมัดจำนะ เพราะใครวางมัดจำก่อนจะให้สิทธิ์คนนั้น” เพื่อนจึงบอกว่า งั้นขอเข้าไปดูในบ้านอีกครั้ง เพื่อนผมทุกคนจึงพากันเข้าไปเดินสำรวจภายในบ้านพร้อมกัน โดยที่ผมกับภพ ก็เป็นคนนำสำรวจบ้านเพราะเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ผมเข้าไปถ่ายรูปภายในตัวบ้าน เพราะครั้งนี้เรามาตอนกลางวัน มีแสงสว่างมากพอที่จะทำให้เรามองเห็นทุกซอกทุกมุม ผมก็ถ่ายรูปครบทุกห้อง แต่ก็เหลือเชื่อว่า เมื่อผมเข้าไปห้องใหญ่ ผมเห็นผู้หญิงคนนั้น ยืนอยู่ที่มุมห้องเหมือนรอต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่ผมก็ไม่พูดอะไร เพราะเพื่อนไม่เห็นกัน ผมก็ยกกล้องมาถ่ายนะครับ แต่ทราบมั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆกล้องมือถือก็ดับ ผมจึงปิด-เปิดเครื่องอีกครั้ง แล้วยกมาถ่าย รอบนี้ถ่ายติด แต่รูปเบลอ มันค่อนข้างแน่ชัดแล้วหล่ะว่าเค้าไม่อยากให้ถ่าย และทันทีที่หันหลังไปถ่ายมุมอื่นรูปในกล้องก็กลับมาชัดปกติ ก่อนที่ผมจะเปิดดูรูป ตอนนั้นพวกผมออกมาจากบ้านหลังนั้นกันแล้ว และเล่าให้เพื่อนๆฟังว่าผมเห็นอะไร แล้วส่งรูปให้เพื่อนดู ผมก็เพิ่งจะเห็นพร้อมเพื่อนว่ารูปมันเบลอ
“มันช่างบังเอิญเกินไปแล้ว” เพื่อนคนนึงกล่าวไว้หลังจากที่พวกเราสำรวจดูกันแล้ว ก็ลงมติกันว่าเอาที่นี้แหละ ผมจึงโทรสอบถามเรื่องค่าใช้จ่ายแรกเข้า เจ้าของแจ้งว่า ต้องจ่ายภายในวันนี้เท่านั้น เพราะจะมีอีกรายหนึ่งจองไว้เหมือนกัน ถ้าพวกผมไม่จองจะหลุดจองทันที พวกผมจึงโทรหาพ่อแม่ขอเงินค่ามัดจำในวันนั้น มันปุบปับมาก ไม่ทันได้เตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น แต่คาดไม่ถึงว่า ทุกอย่างลงตัว เงินจ่ายค่ามัดจำบ้านพร้อมในวันนั้นและโอนในวันนั้นเลยรวมๆ แล้วประมาณ 25,000 บาท (เหมือนเค้าจัดการให้เสร็จสรรพ และแล้ววันย้ายเข้าบ้านก็มาถึง มีเพื่อนๆที่รู้จักกันและก็มีเหล่าพี่ที่เล่นไสยศาสตร์มาช่วยขนของด้วยอีก 2-3 คน เพื่อนที่เป็นพี่ไสยศาสตร์บอกผมว่า บ้านหลังนี้มีเจ้าที่ผู้หญิง ชุดขาว ผมยาว วัยสาว ยืนอยู่ที่กลางบ้านคอยดูพวกเราอยู่ตลอด ผมก็ถึงอึ้งเหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่ทันบอกอะไรเพื่อนเลย เพื่อนก็บอกผมมาหมด ทุกอย่างตรงกันหมด ผมจึงบอกเพื่อนว่า งั้นเราต้องไหว้ขอเจ้าที่ก่อนนอนในคืนนี้ ทุกคนจึงไหว้ตาม พวกผมก็อาศัยอยู่กันอย่างปกติสุขไม่มีอะไรผิดปกติ ก็อาจจะมีอะไรบ้างแต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร
จนมาถึงปี 4 เทอม 1 ผมได้มีโอกาสมาฝึกงานที่ กทม. โดยที่ผมเช่าหอพักอยู่ใกล้กับซ.รางน้ำ ตามตารางการฝึกงานนั้น ผมจำเป็นต้องฝึกอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งย่านพญาไท เป็นเวลา 5 เดือน หอพักแห่งนี้ผมไม่ได้เป็นคนมาหาด้วยตัวเอง แต่เพื่อนที่มาฝึกด้วยแนะนำให้ ผมจึงได้ย้ายมาอยู่ด้วย แต่เช่าคนละห้อง แต่ก็มาทราบในตอนหลังว่า เพื่อนที่ฝึกงานในละแวกนั้นก็กำลังมองหาหอพักอยู่เช่นกัน จึงแนะนำต่อ รวมแล้วอยู่ที่หอพักนี้ด้วยกันทั้งหมด 5 คน ผมและเพื่อนก็ไหว้เจ้าที่เจ้าทางตามปกติ และสำหรับห้องผมนั้น มีเจ้าที่ผู้หญิงอยู่ (อีกแล้ว!! บางทีก็คิดนะว่าคิดไปเองหรือปล่าว) ผมสัมผัสเค้าได้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้า โดยในห้องพักจะมีเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง และตู้เสื้อผ้าอยู่ในห้องเดียวกันเป็นห้องสตูดิโอผมเคลื่อนย้ายเตียงเล็กน้อย เพื่อแก้เคล็ดไม่ให้ทับที่ทับทางของคนอื่น แล้วเข้านอนในคืนนั้น ผมสัมผัสได้ว่ามีผู้หญิงเข้ามาในห้องของผม เค้าสวยมากๆ แต่งตัวดี เป็นชุดไทยสมัยใหม่ด้วยซ้ำ ผมยาว เข้ามานอนข้างๆด้านขวาของผม และตะแคงหันหน้ามาหาผม เหมือนคนเป็นแฟนกัน นี่คือคืนแรก ที่ผมสัมผัสได้ แต่ผมก็ไม่ได้กลัวอะไรมาก เพราะรู้ว่าเค้าไม่ได้มาทำอะไร ผมก็เคารพสถานที่และไม่ไปลบหลู่อะไรเค้า ต่างคนต่างอยู่ แล้วเค้าก็มาๆหายๆ (ตอนนี้เริ่มไม่ค่อยกลัวแล้วครับ เพราะว่าสัมผัสได้บ่อยจนเคยชินซะแล้ว) เมื่อฝึกงานไปได้ระยะหนึ่ง ผมและเพื่อนๆในสาขาได้นัดรวมตัวกันไปเที่ยวที่พระนครศรีอยุธยา โดยที่หอพักของพวกผมนั้นอยู่ใกล้ใจกลางการคมนาคมมากที่สุด จึงให้เพื่อนๆที่ไปด้วยกันประมาณ 10 คน มาพักค้างคืนที่หอ กระจายกันนอนไปทั้ง 5 ห้องผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งสนิทกันจนแกล้งเรียกกันว่า ผัวเมีย ผมให้เพื่อนสนิทที่ผมเรียกแทนตัวว่า “เมีย” ชื่อว่า โย นอนที่ห้องผม นอนกับเพื่อนอีกคนชื่อว่า บีม และผมเองก็ไปนอนที่ห้องเพื่อนอีกคนหนึ่ง ชื่อว่า แมว ในบรรดาเพื่อนผมทุกคนเค้าจะทราบดีว่าผมมีสัมผัสพิเศษ พวกเค้าจะถามผมก่อนเสมอเมื่อไปค้างต่างที่ ว่ามีพลังงานบางอย่างที่เหนือมนุษย์หรือไม่ ครั้งนี้ผมก็ได้บอกไปว่าให้ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนนอนด้วย แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ในคืนนั้น โย ก็มีอาการนอนไม่ค่อยหลับ อาจเป็นเพราะนอนที่ๆไม่คุ้นชิน จึงนอนหลับไม่สนิท และแล้วเพื่อนคนนี้ก็เจอ ไอ้โยมันเจอเจ้าที่ผู้หญิงคนนั้นมาหาครับ มันมาเล่าให้ผมฟังด้วยอาการเสียงสั่นและสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ในตอนเช้าวันนั้นว่า เมื่อคืนเจอผู้หญิงคนหนึ่ง ค่อนข้างสวย ผมยาว ยังสาวอยู่ เหมือนผู้หญิงในสมัยก่อน เข้ามาหาและรู้ตัวอีกทีคือ มันไม่สามารถขยับตัวได้เลย จากนั้นผูหญิงคนนั้นก็ขึ้นคร่อม และเริ่มบีบคอ ไอ้โย พยายามเรียก บีม ที่นอนด้วยข้างๆ ให้ช่วยมันหน่อยเพราะขยับตัวขัดขืนไม่ได้ แต่เหมือนว่าจะไม่รู้สึก โย จึงพยายามขัดขืนจนพูดได้ออกมาว่า
“ปล่อยสิโว้ย ปล่อยเถอะ อย่างแกล้งกันแบบนี้ ปล่อยเถอะ”
สักพัก ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มคลายมือออก แต่ โย ก็ยังไม่สามารถขยับตัวได้ ผู้หญิงคนนั้นก็ พยายามเอาลิปสติกสีชมพู หลอดสีทองๆ มาทาแบบไม่บรรจงที่ปากของมัน กดลงไปที่ปากจนลิปสติกเริ่มหักเป็นก้อนๆ แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ยังคงบดขยี้ทาลิปสติกให้มันอยู่จนหมดแท่ง ลิปสติกแท่งนั้นค่อนข้างสากริมฝีปากมากๆ และไอ้โยมันก็เจ็บมากๆ มันถูกบดขยี้ลิปสติกอยู่นานสองนาน จนกระทั่งสักพัก ผู้หญิงคนนั้นก็ปล่อย และค่อยๆหายไป ไอ้โยจึงเริ่มขยับตัวได้ แต่ก็ไม่ได้ปลุกเพื่อนที่นอนข้างๆ ผมก็ไม่เคยบอกเพื่อนเลยว่าที่นี้มีเจ้าที่เจ้าทางที่เป็นผู้หญิง ผมยาว ค่อนข้างสวย แต่เป็นเหมือนผู้หญิงในสมัยก่อน ผมก็รู้ทันทีว่าเค้าคงจะไม่พอใจที่ผมเรียกเพื่อนคนนี้ว่า “เมีย” เค้าอาจจะหึงหวงผมก็ได้ เพราะมีอยู่หลายคืนที่เค้าเข้ามานอนกับผม
ในวันถัดมานั้นพวกเราก็ได้เดินทางไปเที่ยวที่เมืองเก่าพระนครศรีอยุธยาด้วยรถไฟ และเหมารถตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวชมวัดต่างๆ ที่นั้นบรรยากาศเหมือนว่าเป็นสถานที่คุ้นชินและเหมือนยังมีชีวิตของเหล่าบรรพชนที่ยังคอยเป็นวิญญาณปกป้องผืนแผ่นดินนั้นอยู่ ขากลับเพื่อนของผมได้พูดแซวกันในกลุ่มสาวๆว่า “เต้นไม่เหมือนนะ ไปหัดมาใหม่”ผมจึงอยากรู้ว่าเต้นอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน เพราะเราไปวัดกันมา มันไม่เหมาะสมหรือปล่าว เพื่อนบอก เต้นก่อนขึ้นรถ เต้นเลียนแบบเกาหลี ผมจึงไม่ได้ว่าอะไร เพราะคิดว่ามันนอกเขตโบราณสถาน นอกเขตวัด น่าจะไม่เป็นอะไร เพราะเหมือนเพื่อนเล่นกัน แต่มันไม่ใช่อย่างนั่น ทันทีที่รถขับออกจากวัด มาจากกลางวันที่แสงแดดจ้าร้อนแทบผิวไหม้นั้น จู่ๆฟ้าก็เริ่มมืดครึ้ม เหมือนฝนกำลังจะตก ผมกับเพื่อนๆก็ยังไม่ได้เอะใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่พอลองมาคิดใหม่ ฟ้าฝนที่ตกนี้ มันตกหนักมากจนทำให้รถต้องขับช้ามากๆ และมีฟ้าร้องเสียงดัง เกิดฟ้าผ่าไล่ตามมาถึง 3 ครั้ง เหมือนกำลังไล่ตามพวกผมอยู่ ผมจึงบอกว่า ให้ขอโทษซะ หากทำการใดที่ล่วงเกิน หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพื่อนๆก็ขอขมาลาโทษ พวกผมก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรแล้ว ผ่านไปประมาณ 10 นาที เมื่อใกล้ถึงสถานีรถไฟ ฝนหยุดตก ฟ้าเริ่มสว่าง และเมื่อถึงสถานีรถไฟ ฟ้าก็สว่าง แดดเปรี้ยงๆ ราวกับว่า ไม่มีฝนตกมาก่อนเลย เพื่อนๆจึงพากันแปลกใจการไปเมืองเก่าครั้งนี้ ทำให้ผมได้พบกับสัมผัสพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ “นิมิต” เมื่อฝึกงานเสร็จแล้วพวกผมก็ได้เดินทางกลับมาส่งแบบประเมินผลที่มหาวิทยาลัย ผมโชคดีมากที่ได้หอพักใกล้หลังมหาวิทยาลัย ในคืนหนึ่งผมฝันว่าผมไปที่วัดแห่งหนึ่ง แต่เป็นวัดที่ไม่ได้ไปในตอนนั้น เป็นวัดอีกแห่งที่ผมไปในครั้งแรก แต่ผมสามารถเดินเข้าไปในวัดและบริเวณรอบๆโดยไม่หลงทาง ผมเข้าไปยังกุฏิหลวงพ่อรูปหนึ่ง ในขณะที่ผมกำลังจะเดินเข้าไปหาท่านนั้น มีแมวตัวสีดำท่าทีนิสัยดุร้าย มาขวางทางและทำท่าเหมือนจะกัด แต่ก็มีหลวงพ่อมาห้ามไว้ก่อน แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า
“หยุดสร้างเวรสร้างกรรมเถอะโยม อะไรที่มันแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไป ตอนนี้ภพภูมิใหม่แล้ว เราก็สร้างกุศลต่อกันดีกว่า”เหมือนว่าแมวจะรับฟังคำที่พลวงพ่อสอนไว้ แล้วมันก็เดินจากไป ในช่วงที่ผมมองตามแมวที่กำลังเดินจากไปด้วยความสงสัยนั้น จู่ๆก็มีคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผมจากทางด้านหลังและสะกิดบ่าซ้ายของผม และพูดว่า
“อยากรู้มั้ยว่าทำไมแมวตัวนั้น ถึงมีอาการแบบนั้น ตามเรามา”
ผมก็เดินตามเค้าไปแล้วก็เค้ายื่นกระดาษและปากกาให้จดตามสิ่งที่เค้าบอกคือ ที่อยู่แห่งหนึ่ง พร้อมชื่อคนยาวๆ อ่านยากๆ มาให้ผม รวมๆแล้วประมาณ 2-3 บรรทัด ผมกำกระดาษไว้ในมือจนแน่น และผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ผมพยายามมองหาเศษกระดาษนั้นในมือ แต่กลับว่างเปล่า ผมรู้สึกราวกับว่าเราได้ไปอยู่สถานที่แห่งนั้นจริงๆเลยด้วยซ้ำ (แล้วแต่ความเชื่อของ ผมเชื่อว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่พยายามจะสื่อกับผม ผมพยายามฝันอีก แต่ก็ยังไม่มีวี่แววของฝันนั้นอีกจนถึงปัจจุบัน เรื่องนี้เป็นสัมผัสพิเศษของผมที่ยังหาคำตอบไม่ได้ พอถึงภาคเรียนที่ 2
ผมก็ได้กลับมาเรียนต่อในเทอมสุดท้ายของชีวิตปริญญาตรี ณ หลักสูตรแห่งนี้ ผมได้รับมอบหมายให้พัฒนาโปรเจคจบการศึกษา จนกระทั่งวันหนึ่ง ไปประชุมกับเพื่อนในกลุ่มที่ห้องของ ภพ พวกเราทำงานอยู่กลุ่มเดียวกันตลอดจึงจับกลุ่มด้วยกัน ตอนเย็นผมทานข้าวกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง แล้วก็แยกย้ายกันกลับห้อง ผมก็ไปยังห้องของ ภพ เพื่อประชุมงาน แต่เพื่อนที่ทานข้าวด้วยกันบอกว่าอาจจะแวะเข้ามานั่งเล่นด้วย ผมก็ประชุมกันตามปกติ จนถึงเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ หอพักเริ่มเงียบ ไม่นานผมก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ซึ่งที่นี่ประตูไม่มีตาแมวตอนแรกผมคิดว่าเพื่อนน่าจะมาแล้ว จึงลุกขึ้นไปเปิดประตูและแอบอยู่หลังประตู ประมาณว่าจะแกล้งเพื่อนให้ตกใจเล่นๆ แต่สุดท้ายกลับเป็นผมเองที่ต้องเงิบเพราะ……ไม่มีใครมาเคาะประตูห้อง!!! เพื่อนที่นั่งอยู่ในห้องด้วยกันหน้าเหวอ และหันมาถามผมว่า
“เปิดประตูให้ใครหรอ?” ผมก็ตอบกลับไปทันทีว่า
“อ่าว ก็เพื่อนมาหาไม่ใช่หรอ”
แต่มันกลับตอบว่าไม่มีใครนะ ผมก็ตกใจ หรือว่าผมได้ยินเสียงไปเองหรอ
ผมจึงเดินออกมาจากหลังประตูแล้วดูว่าไม่มีใครจริงๆหรอ สรุปคือไม่มีใครเลยจริงๆ หน้าห้องเองก็ไม่มีใครเลย ผมถามเพื่อนว่าไม่ได้ยินหรอตอนเสียงเคาะประตู เพื่อนตกใจและด่าผมกลับมาในโทษฐานที่ทำให้กลัว ตอนนั้นผมคงหูแว่วไปเอง ผมคิดแบบนี้ แต่แล้ววันถัดมา เพื่อนผมที่เป็นพี่ไสยศาสตร์ด้วยกัน มาทักผมตอนเรียนว่า“ทำไมเมื่อคืนไม่มาช่วยวะ เกือบจะตายแล้ว ดีนะที่อดทนผ่านมาได้”
ผมแอบ งง จึงถามต่อว่า ยังไงไปช่วยอะไร ตอนไหน เพื่อนจึงบอกว่า เมื่อคืนได้ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่สูบบุหรี่สูตรพิเศษ จู่ๆก็มีอาการแพ้อย่างรุนแรง หายใจไม่ออก อยากให้เพื่อนในกลุ่มนั้นพาไปโรงพยาบาล แต่กลับคิดว่าแกล้งเล่น จึงปล่อยให้ดิ้นทุรนทุรายอยู่ มันก็เลยบอกให้สิ่งที่นับถืออยู่นั้น มาเรียกผมให้ไปช่วยหน่อย ในเวลาประมาณเกือบสี่ทุ่มครึ่ง
ผมร้องอุทานหาตัวเงินตัวทองดังมาก เพราะสิ่งที่ผมได้ยินเมื่อคืนนั้นคือ เพื่อนผมที่กำลังจะขาดใจตาย สิ่งลี้ลับมาตามผมไปช่วยส่งมันโรงพยาบาล ผมแต่ไม่รู้ (อาจจะจิตยังไม่แกร่งพอจึงทำให้สัมผัสไม่ได้)
- – – – – 1 เดือนผ่านไป – – – – – ช่วงค่ำวันหนึ่งกระต่ายตัวเล็กอายุ 2 เดือน ที่ผมเลี้ยงไว้นั้น ตายลงโดยไม่ทราบสาเหตุ ผมจึงตั้งศพกระต่ายไว้ใกล้กับถังขยะหลังห้อง (ห่อด้วยกระดาษตั้งไว้) กะว่าอีกสักชั่วโมงค่อยพาไปฝัง และมีเพื่อนผมคนหนึ่งชื่อ เปม มันเคยมาเล่นกับกระต่ายของผมบ่อยๆ พอครั้งนี้มาแล้วเจอกับข่าวร้าย จึงดุผมว่าทำไมผมตั้งไว้แบบนั้น ทำไมถึงไม่ไปฝัง ผมก็เลยไปฝังไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง ใกล้กับสระน้ำใหญ่ (สาเหตุที่เลือกตรงนี้เพราะ บริเวณที่หอผมอยู่ไม่มีที่ดินหรือป่าเลย และพื้นที่ตรงนี้เป็นป่าไม้ทึบ ไม่มีคนมาวุ่นวาย และคิดว่าฝังไว้ตรงนี้ดีกว่าที่เราไปทิ้งศพเค้าในถังขยะแบบไม่ใยดี)ในขณะที่ฝังกระต่ายอยู่นั้น ผมมีความรู้สึกว่ามีใครจ้องผมอยู่นอกจากเพื่อน นั้นก็คือมีวิญญาณเร่ร่อนผู้ชายคนหนึ่งวัยกลางคนรูปร่างสันทัด ไม่สูงมาก มายืนดูผมอยู่ ผมรู้ว่าเค้าไม่ได้มาร้าย แต่ก็รีบขุดหลุมและรีบฝังให้เสร็จจะดีกว่า ในตอนที่ผมเอากระต่ายลงไปฝังในหลุม เพื่อนผมด้วยความที่มันเป็นคนมีจิตเมตตา จึงท่องบทแผ่เมตตาให้ด้วย ทันทีที่กล่าวบทสวด มีวิญญาณผู้หญิงสาว รูปร่างผอมบาง มายืนก้มหน้าอยู่ที่ริมถนน และมีวิญญาณผู้ชายอีกคนหนึ่งค่อนข้างสูงวัยมายืนดูอยู่ที่ป่าฝั่งตรงข้าม ผมจึงรีบบอกเพื่อนให้หยุดก่อน ก่อนที่มันจะมามากกว่านี้ ผมพูดด้วยอาการที่แน่นหน้าอกและหายใจไม่ออกหลังจากนั้นผมก็รีบฝังแล้วรีบกลับห้อง วันถัดไปผมก็รีบไปทำบุญกรวดน้ำให้กระต่าย ขออโหสิกรรมที่เลี้ยงดูมันไม่ดีจนทำให้มันตายลง และเล่าให้เพื่อนว่าที่บอกให้หยุดเพราะอะไรเจอ เพื่อนผมขอโทษยกใหญ่พูดไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า เพราะไม่รู้ว่าผมเห็นอะไร
หลังจากที่ผมเรียนจบแล้วผมก็ได้มาทำงานที่ กทม. จนถึงปัจจุบัน