ลานจอดรถชั้น 16

 ลานจอดรถชั้น 16

ลานจอดรถชั้น16 ห้องพักหลอน ห้องพักผีสิง อ่านเรื่องผี หลอน สยองขวัญ

แชร์เรื่องนี้

“ลานจอดรถชั้น 16”
เด็กหนุ่มสุดหล่อจากบ้านนอกอย่างผม ว่างเว้นจากช่วงหน้านา ก็เดินทางเข้าเมืองกรุงหางานทำ คนการศึกษาต่ำต้อยอย่างผมจะให้ทำงานดีๆในห้องแอร์ก็คงจะไม่ได้ จะเดินทางมาเป็นกรรมกรก่อสร้างถึงเมืองกรุงก็ใช่เรื่อง ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจหางานในเครื่องแบบ ผมจึงไปสมัครเป็น ร.ป.ภ.ที่บริษัทแห่งนึง ซึ่งผมได้รับมอบหมายให้เข้าดูแลตึกอาคารจอดรถแห่งนึงช่วงกลางวัน ผมก็มาทำงานตามปกติทุกวันก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลกๆเกิดขึ้น จนวันนึงผมได้รับมอบหมายให้มาเข้าเวรกลางคืนแทนเพื่อนคนนึงที่ป่วย ลากะทันหัน ผมก็โอเคจะทำยังไงได้ก็เป็นลูกน้องเค้า เค้าสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ ถ้าไม่ทำก็คงต้องหอบเสื่อกลับบ้านนอกอยู่บ้านเฉยๆ ผมกราดไฟฉายในมือไปตามซอกมุมที่มืดสนิท ตามหลังเสาคอนกรีตขนาดใหญ่แบบสี่เหลี่ยม ที่เรียงรายเป็นแนวไปจนสุดตึก ของลานจอดรถชั้นที่ 14ช่วงเวลา 5 ทุ่มกว่าๆแบบนี้ไม่มีรถจอดอยู่เลยสักคัน มันเหมือนตึกร้างชัดๆ มีเพียงแสงไฟนีออนที่ติดให้ความสว่างอยู่เป็นช่วงๆ ความยาวของลานจอดรถในแต่ละชั้น ก็ประมาณ 300 – 400เมตร ทั้งลานจอดรถเงียบสงัดและว่างเปล่า ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากจิ้งจก ตุ๊กแก อาจจะเรียกได้ว่าทั้งชั้น 14 นี้ มีเพียงผมคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เดินอยู่ในขณะนี้ เมื่อได้รับคำสั่งด่วนจากหัวหน้าสายงาน ให้มาเข้าเวรแทนเพื่อนยาม ที่ทำงานอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวไม่ทันได้ตั้งตัว และคืนนี้ก็เป็นคืนแรกที่ผมได้เข้าเวรแทนเพื่อนยามคนเก่าที่ลาป่วยกะทันหัน ผมมีหน้าที่เดินตรวจรับผิดชอบลานจอดรถ ตั้งแต่ชั้นที่ 13 ขึ้นมา ตึกลานจอดรถหลังนี้มีทั้งหมด 18 ชั้น มียาม 3 คน รับผิดชอบคนละ 6 ชั้น ตึกลานจอดรถนี้อยู่หลังตึกใหญ่ที่ใช้เป็นอาคารสำนักงานราว 100 กว่าบริษัท โดยมีสะพานเชื่อมต่อเดินไปตึกหน้าได้ทุกๆ 5 ชั้น ซึ่งมันคงจะผิดจากช่วงยามเช้าจรดเย็น ที่ทั้งลานตึกจอดรถคงจะเต็มไปด้วยรถและผู้คน แต่ในยามนี้ทุกอย่างกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเสียงรองเท้าหนังคอมแบตของผมที่เดินอยู่ในลานจอดรถ ดังก้องจนได้ยินชัดเจน ผมถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่ายที่ต้องมาเดินเฝ้าลานจอดรถว่างเปล่าแบบนี้ ผมเดินมาจนถึงสุดทางเดินก็เดินขึ้นทางลาดเพื่อขึ้นสู่ชั้นที่ 15 ซึ่งก็คงจะเหมือนๆ กับชั้น 13-14 ที่ผมเดินผ่านมาแล้วเมื่อผมขึ้นมาถึงชั้นที่ 15 มองไปสุดทางเดินซึ่งมันมืดเป็นช่วงๆ ที่แสงไฟนีออนส่องไปไม่ถึง เกือบสุดทางเดินของตึกชั้นนี้ ผมเห็นมีไฟนีออนที่ติดเพดานมีแสงไฟดับๆ ติดๆ อยู่ดวงหนึ่ง ผมกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆพร้อมส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย บ่นกับตัวเองงเบาๆ “นี่มันจะให้เรามาเดินเฝ้าอะไรวะ ตลอดทั้งตึกนี้รถก็ไม่มีสักคัน หรือกลัวคนจะมาขโมยหลอดไฟนีออนวะเนี่ย”

แม้จะเบื่อเต็มทีแต่มันก็เป็นคำสั่งของหัวหน้า และมันก็เป็นหน้าที่ของ ร.ป.ภ. ที่ใส่ชุดเต็มยศแบบผมนี้ ผมออกเดินส่องไฟฉายในมือ กราดแสงส่องสลับขวาทีซ้ายทีไปเรื่อยๆ แบบเซ็งๆ รอบๆ ตึกก็เป็นบ้านร้างที่มีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมดเป็นส่วนใหญ่ เพราะตึกนี้ตั้งอยู่แถบชานเมือง ซึ่งผิดกับตึกในใจกลางกรุงเทพฯที่รอบๆ ตึกยังพอมีแสงสีเสียง ให้ได้เห็นให้ได้ยินบ้างแม้จะดึกสงัด ต่างจากตึกหลังนี้ลิบลับทั้งไกลจากตัวเมือง และยังอยู่ห่างจากทางด่วนยกระดับ ที่ทอดตัวอยู่ห่างออกไปเกือบ 2 กิโลเมตร ผมมองเห็นทางเดินยาวสุดสายตาไกลออกไป จนผมเดินตรวจมาถึงช่วงกลางลานจอดรถ อยู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงดังหึ่งๆ เบาๆ เมื่อมองดูจึงเห็นผีเสื้อกลางคืนตัวหนึ่ง บินเล่นไฟนีออนอยู่ เสียงปีกของมันดีดตีหลอดนีออนดังหึ่งๆ เบาๆ แต่มันดังชัดเจนในเวลากลางคืนที่มีแต่ความเงียบสงัดแบบนี้ ผมยืนมองดูเจ้าผีเสื้อกลางคืนบินเล่นไฟอยู่เพลินๆ จู่ๆเสียงเครื่องวิทยุสื่อสารเจ้ากรรมที่ผมถืออยู่ในมือซ้ายก็ดังขึ้น จนผมสะดุ้งสุดตัว
“หมายเลข 2 ตอนนี้อยู่ชั้นไหน…”ผมเป่าลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก พร้อมทั้งกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ อย่างหัวเสียเล็กน้อย แต่ก็พูดตอบหัวหน้าไปว่า”ผมอยู่ที่ชั้น 15 ครับ….มีอะไรหรือเปล่า…”เสียงหัวหน้าเรียกมาเงียบไปสักครู่ จนผมต้องกดปุ่มถามย้ำไปอีกครั้ง เสียงหัวหน้าสายงานจึงตอบกลับมาว่า”ชั้นที่ 16 เดินผ่านไปเลยก็ได้….ถ้าไม่มีอะไร…ไปดูชั้น 17-18 เลย…”คำสั่งนี้ของหัวหน้าทำเอาผมฟังแล้วก็แปลกๆ ทำไม ทำไมไม่ต้องเดินตรวจชั้นที่ 16 ก็ได้ แต่ชั้นที่ 17 กับ 18 กลับสั่งให้ผมเดินตรวจตามปกติ แต่ผมก็ไม่ได้พูดหรือซักถามอะไร ให้รำคาญ ผมกดปุ่มพูดรับทราบจากนั้นก็เดินต่อไปจนสุดทางเดินตึก ก็ถึงทางลาดขึ้นสู่ชั้นที่ 16 ซึ่งผมก็ต้องแปลกใจที่ชั้น 16 นั้นมืดสนิท ผมกราดไฟฉายขึ้นไปดู ทั้งชั้นของลานจอดรถชั้นที่ 16 มืดสนิท เพราะตลอดเส้นทางไม่มีไฟนีออนติดให้ความสว่างอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียว ผมยืนมองไปตามแนวยาวของลานจอดรถที่มืดมิดนั้น มองเห็นเสาที่เรียงรายไปตาม 2 ฝั่งของลานจอดรถ ไกลออกไปในความมืด มีเพียงแสงดาวที่สาดส่องเข้ามาบ้าง ที่พอช่วยให้เห็นอะไรๆ ได้เลือนราง
“มิน่า…อย่างนี้เองที่บอกว่าไม่ต้องเดินตรวจชั้นนี้ก็ได้ มันมืดเพราะไม่มีไฟอย่างนี้เอง”ผมพูดกับตัวเองเบาๆ ขยับตัวจะเดินขึ้นชั้นที่ 17 ต่อไป แต่มือก็ยังส่องไฟฉายที่พุ่งเป็นลำ กราดไปตามเสาด้านขวาที่ไกลออกไปราว 5-6 ต้น แต่แล้ว ผมต้องชะงักกึก เมื่อแสงไฟฉายสาดกวาดผ่านร่างๆหนึ่ง ที่หลบแว่บเมื่อแสงไฟฉายกราดผ่านไป จนผมต้องขยับมือกราดแสงไฟฉายกลับไปที่เสาต้นนั้นอีกที ซึ่งร่างลึกลับนั้นหลบวูบเข้าไปผมค่อยๆ ขยับหันหน้ามองอย่างจริงจัง มองตามวงแสงไฟฉายที่จับอยู่ที่เสาต้นนั้นนิ่งไว้ และพยายามเพ่งสายตามองฝ่าความมืดไปด้วย เพราะห่างจากแสงไฟฉายออกไป ก็แทบจะไม่เห็นอะไรอีกนอกจากภาพเลือนรางเท่านั้น”ใครน่ะ…ใครอยู่ตรงนั้น…ขึ้นมาทำอะไรบนนี้…ออกมา”ผมตะโกนออกไป จนเสียงของผมสะท้อนก้องไปทั้งชั้น และค่อยๆ สืบเท้าช้าๆ เข้าไป ไม่แน่ใจว่าคนที่แอบนิ่งอยู่หลังเสาต้นนั้น จะมีอาวุธอย่างมีดกับปืนหรือเปล่า เพราะที่ตัวผมมีเพียงแค่กระบองไม้อันเดียว ที่ห้อยติดอยู่ในปลอกหนังข้างเอวซึ่งตอนนี้ผมดึงขึ้นมาถือมันไว้ในมือขวา ส่วนมือซ้ายกลับมาถือไฟฉายแทน และนำวิทยุสื่อสารเหน็บเข้าที่เอวแบบเตรียมพร้อม ผมยังคงส่องจี้ไฟฉายอยู่ตรงนั้น
ไม่เปลี่ยนที่ เดินชิดซ้ายให้ห่างจากด้านขวาที่เสาเป้าหมายนั้นตั้งอยู่ ผมเดินช้าๆ จนใกล้มาถึงเสาที่อยู่ตรงข้ามกับเสาต้นนั้น ผมจึงเดินหลบเสาต้นที่ตรงกับเสาต้นนั้นอ้อมพรวดออกมาส่องไฟไปที่หลังเสาต้นนั้น ทุกอย่างว่างเปล่า ผมค่อยๆ ฉายกราดแสงไฟไปรอบๆ บริเวณนั้น แต่ก็ไม่มีสิ่งใดแม้แต่น้อย แมวสักตัวก็ไม่มี ผมเดินเข้าไปที่เสาต้นนั้นส่องไฟฉายดูให้มั่นใจ ผมถอนหายใจออกมา
อย่างโล่งอกบ่นเบาๆออกไป “ตาฝาดไปเองแหงๆ เลยเรา”และไหนๆ ก็เดินมาถึงตรงนี้แล้ว อันเป็นจุดที่เกือบจะกลางทางลานจอดรถแล้ว ก็เดินไปให้สุดเสียเลยก็แล้วกันเมื่อคิดได้แบบนั้น ผมจึงเดินต่อไป เสียงสะท้อนจากเท้าของผมที่เดินแต่ละก้าวดังกึกๆ สะท้อนชัดเจนเพราะผมใส่แผ่นเหล็กสำหรับกันรองเท้าสึก ไว้ที่สันรองเท้าทั้ง 2 ข้างของผมแต่มีบางจังหวะที่ผมรู้สึกว่ามันแปลกไปผมเดินไป 34ก้าว เสียงก็ควรจะดัง 4 ครั้งตามจังหวะพอดีที่ผมเดิน แต่ผมกลับรู้สึกได้ยินเหมือนกับว่า เสียงย่ำเดินของผมมันดันดังเกินไปกว่าที่ผมเดิน ผมจึงลองเดินใหม่ โดยเดินออกไป 5 ก้าวติดๆ กัน เสียงสุดท้ายคือเสียงที่ 5 ซึ่งมันก็ควรเป็นเช่นนั้น แต่นี่มันกลับมีเสียงเดินกึกๆ เกินมาถึง 3 ครั้ง ผมใจหายวูบ ขนลุกขนชันไปทั้งตัว ผมกลั้นใจค่อยๆ หันไปมองด้านหลัง ส่องกราดแสงไฟฉายไปที่ด้านหลังทั่วๆ แต่ทุกอย่างมันก็ว่างเปล่าไม่มีอะไร และมันก็เงียบสงัดจนหูผมแทบอื้อ ผมค่อยๆ ขยับตัวเองเดินถอยหลังช้าๆ อย่างไม่ไว้ใจต่อสถานะการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พอผมก้าวเท้าเดินออกไปได้ 2-3 ก้าว เสียงเดินที่เกินมานั้น คราวนี้มันดังเกินมาหลายครั้งราวกับใครเอาช้อนกินข้าวที่ทำจากสแตนเลสมาตีกันถี่ๆ ในตอนนี้ผมมาหยุดเดินอยู่ตรงกึ่งกลางของลานจอดรถพอดี ทั้งหน้าหลังเป็นทางยาวที่หายเข้าไปในความมืดราวกับไม่มีทางสิ้นสุด และไม่ว่า ผมจะคิดไปทางด้านไหนก็รู้สึกว่ามันเหมือนจะไกลออกไปราว 10-20 กิโลเมตร ผมรู้สึกได้ถึงความหวาดหวั่นที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ และทำให้เท้าทั้ง 2 ข้างของผมนั้น หนักราวกับถูกถ่วงด้วยหิน ในใจผมนั้นไม่อยากที่จะเดินเสียด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ไม่ว่าจะหันเดินไปทางไหน ผมก็คิดว่ามันน่ากลัวทั้ง 2 ทาง มันเหมือนผมติดกับดักที่ถูกวางเอาไว้ เพราะลานจอดรถที่นี่เป็นทางยาวตลอด ไม่มีทางช่วงกลางให้รถขึ้นลงได้ อย่างตึกอื่นๆ ที่ผมเคยพบเห็นมา ไฟนีออนที่ไม่ได้เปิดทั้งชั้น ทำให้ทั้งช่วงเสาและทางวิ่งรถมันมืดราวกับขุมนรก แม้จะอยู่ถึงชั้นที่ 16 แต่ก็ไม่มีลมพัดเข้ามาถูกตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว ผมรู้สึกร้อนอบอ้าว จนเหงื่อไหลไคลย้อยออกมาทั้งหน้าทั้งตัว แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นเหงื่อที่เกิดจากความร้อนของบรรยากาศหรือว่ามันเกิดจากความกลัวของผมกันแน่ ผมค่อยๆ ใช้ไฟฉายกราดไปทั่วๆ ทุกมุมตึกที่จะผ่านไป มือขวาที่กำกระบองไม้ไว้แน่นนั้น ชุ่มไปด้วยเหงื่อจนผมรู้สึกได้ ผมรีบหันกราดไฟฉายกลับหลัง เมื่อได้ยินเสียงผิดปกติมาจากทางด้านหลังมันเป็นเสียงเหมือนคนเอาเหล็กแหลมๆ หลายๆ อันทิ่มพื้นหรือผนังดังถี่ๆ พอผมฉายไฟไปตามทิศทางนั้นเสียงนั้นก็หยุดไปในทันที แต่พอผมขยับเดิน เสียงนั้นก็ดังตามหลังมาเรื่อยๆ มันดังก้องไปทั้งชั้น ดังเข้าไปในหัวใจของผมด้วย ผมเดินถอยหลังอย่างช้าๆ เพื่อจะดูว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันคืออะไร และจะดังอีกไหม ผมเดินหันหลังดูมันอยู่อย่างนี้แต่พอผมขยับขาเดินถอยหลังไป 3-4 ก้าว เสียงนั้นก็ดังตามมาติดๆ ผมหยุดกราดแสงไฟฉายไปทั่วลาน กลับไปกลับมา แต่ทุกอย่างทั้งบริเวณก็ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆ แต่แว่บหนึ่ง ผมก็เห็นบางสิ่งบางอย่างห้อยลงมาจากเพดานปูนตรงกลาง ในตอนแรกที่ผมไม่เห็นนั้น เพราะผมมัวแต่ส่องทางพื้นราบ แต่ช่วงหนึ่งที่ผมสาดแสงไฟฉายขึ้นสูง ผมจึงเห็นบางสิ่งบางอย่างห้อยลงมา ผมตัวแข็งทื่อไม่กล้าแม้จะยกไฟฉายขึ้นส่องดู แต่จากสายตาผมมันเริ่มชินกับความมืดมากขึ้น ทำให้เห็นลางๆ ว่าสิ่งที่ห้อยลงมานั้น มันเป็นเส้นที่พลิ้วไหวได้และดูยังไงผมก็ดูออกว่า นั่นต้องเป็นเส้นผมของคน และความยาวแบบนั้นต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่จะมีผู้หญิงแบบไหนที่ขึ้นไปอยู่บนเพดานแบบนั้นได้ ผมเพ่งสายตามองขึ้นไปก็เห็น เป็นรูปร่างตะคุ่มๆ ในความมืดสลัวนั้น มันเหมือนร่างนั้นนอนราบคว่ำอยู่กับพื้น แต่มันเป็นพื้นบนเพดานราวกับแมงมุมยักษ์ที่เกาะเพดานอยู่ยังไงยังงั้น มีเพียงส่วนผมที่ห้อยลงมาเท่านั้น ความกลัวมันทำให้ผมต้องเดินถอยหลังอย่างลืมตัวไปด้านหลัง 2-3 ก้าว ส่วนสายตาของผมก็จับนิ่งอยู่ที่ร่างร่างนั้น ที่ติดหนึบนิ่งอยู่บนเพดานนั้นเขม็ง คุณพระคุณเจ้าช่วยร่างนั้นขยับคลานมากับเพดาน ราวกับคลานบนพื้นด้านล่างธรรมดาๆ มันตามผมมาด้วย เสียงที่เหมือนเหล็กแหลมแทงพื้นหรือผนัง ก็คงดังมาจากร่างบนเพดานนั่นเอง มันเป็นเสียงที่เกิดจากเล็บปลายนิ้ว ที่คงแหลมคมจิกพื้นเพดานคืบคลานตามมานั่นเอง แต่พอผมหยุด ร่างนั้นมันก็หยุดด้วย และนิ่งอยู่อย่างนั้น แต่หากว่าถ้าผมหันหลังและออกวิ่งสุดฝีเท้าล่ะ ผมไม่กล้าคิดที่จะทำแบบนั้น ผมได้แต่ถอยหลังมาเรื่อยๆ ช้าๆ ร่างนั้นบนเพดานก็คลานตามมาช้าๆ เช่นเดียวกัน พร้อมๆ กับเสียงแก๊กๆ นั่นด้วย แต่ละก้าวที่ผมเดินมันช่างนานเหลือเกิน นานราวเป็นชั่วโมงหรืออาจนานกว่านั้น จนผมถอยมาอีกไม่เกิน 2 ก้าว หลังผมจะติดผนังสุดทางลานจอดรถ ผมจึงหยุดและตัดสินใจเด็ดขาด ยกไฟฉายในมือขึ้นส่องไปที่ร่างบนเพดานนั้นแบบเต็มๆและภาพนั้นมันทำให้ผมถึงกับผงะถอยหลัง ล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้น เพราะบนเพดานนั่นเป็นร่างของผู้หญิงในชุดนอนสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้านั้นเน่าเฟะ เนื้อหนังหลุดห้อยจนเห็นกระดูกหน้าขาวบางส่วน แต่ดวงตากลับยุบหายโบ๋เข้าไปทั้งสองข้าง อ้าปากส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั่วทั้งชั้นและคืบคลานเข้ามาหาผม พร้อมกับเสียงหัวเราะแหบๆ ก้องไปทั้งชั้น 16 ผมหลับตาเมื่อเห็นใบหน้าเน่าเฟะนั้น ยื่นใกล้ลงมาหาผม และแล้วสติทุกอย่างของผมก็ดับวูบลงแค่นั้นด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ไม่รู้ว่าผมหลับไปนานแค่ไหน ผมตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองมาอยู่ที่ห้องพักยามชั้น 1A หัวหน้าและเพื่อนยามคนอื่นๆไม่เห็นลงมาสักที วอไปหาก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงรีบออกตามหากัน ก็เห็นผมนอนหลับอยู่ที่ชั้น16 ก็เลยช่วยกันหามผมลงมา และหัวหน้าสายงานก็ได้เล่าให้ฟังว่า ชั้นที่ 16 นั้นเคยมีการฆ่ากันตาย โดยสามีของผู้หญิงเองพาเมียตัวเองขึ้นมาฆ่าทิ้งบนชั้นที่ 16 นี้เมื่อปีที่แล้ว หลายๆคนเจอดีแบบผมมาแล้ว ยามคนที่ลาป่วยก็เหมือนกัน คืนก่อนที่จะลาป่วยเค้าก็เจอแบบผมเต็มๆ พอหลังจากเหตุการณ์นั้นผมก็เข็ดขยาดไม่ขอเข้าเวรกลางคืนอีกเลย พอแล้วถ้าเกิดผมหัวใจวายจะทำยังไง ใครจะดูแลพ่อแม่ผม และสุดท้ายผมก็ไม่ลืมไปทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับเค้าคนนั้น ที่อุตสาห์มาปรากฎตัวให้ผมเห็น ใครหลายคนอาจจะอิจฉาผมที่มีโอกาสได้เห็นผีแบบ full hd เต็มสองตา แต่คุณไม่ต้องกลัว สักวันโอกาสจะเป็นของคุณ โชคดีขอให้เจอผีกันทุกคน

ติดตาม RedMoon ค่ำคืนสีเลือด

GhostStoryThai.com อ่านเรื่องผี

แชร์เรื่องนี้

เรื่องอื่นๆ