อย่าชวน…

 อย่าชวน…

อย่าชวน ห้องพักหลอน ห้องพักผีสิง อ่านเรื่องผี หลอน สยองขวัญ

แชร์เรื่องนี้

“อย่าชวน”
สมัยก่อนโน้น พ่อแม่ของเรามีอาชีพทำไร่ทำสวน คนงานค่อนข้างขาดแคลน บ้านเรานี่จะว่าไปอีกสองสามอำเภอก็ฝั่งลาวแล้ว ทีนี้ลูกของพี่ชายตา ซึ่งลูกพี่ลูกน้องฝั่งลาว) ตอนนั้นเมียแกท้องโต ได้สัก 8เดือน แกเลยพาเมียข้ามฝั่งมาคลอดลูกที่โรงบาลประจำอำเภอที่ฝั่งไทย เมียแกชื่อป้าแก้ว ทางบ้านเราก็ให้ที่พักกับอาหาร ส่วนแกก็ช่วยงานไร่เป็นค่าตอบแทน ที่จริงแกมีลูกแล้ว 2คน เป็นผู้ชายทั้งคู่ รุ่นราวคราวเดียวกับเรานี่แหละ ส่วนในท้องนี่ เห็นว่าเป็นลูกสาว รู้ผลตอนไปตรวจเมื่อคราวก่อน ส่วนเรื่องสิทธิ์ในการรักษาอะไรยังไงนี่ ตอนนั้นยังเด็กก็ไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่

ป้าแก้วเนี่ยแกเป็นผู้หญิงผิวคล้ำ ผมยาวๆ อ้วนๆ ที่อ้วนเพราะแกท้องละมั้ง ก็นั่นแหละ แกก็มาอาศัยบ้านเราได้สักระยะ ทีนี้พอจะถึงเวลาคลอดตามที่หมอนัด แกก็เดินทางไปโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ปวดท้องคลอดเลย มานึกย้อนไป เราไม่เข้าว่าทำไมหมอถึงไม่ผ่าให้ เพราะที่เรียนมา ท้องนานเกินนี่ก็ไม่ดีเหมือนกัน หรือ สมัยนั้น การผ่าคลอดยังไม่เป็นที่นิยม เครื่องไม้เครื่องมืออาจไม่ทันสมัยล่ะมั้ง แกก็กลับมาพักที่บ้านเรา ทีนี้สามีแกกับแก ยังไงไม่รู้ มาขอลากลับไปฝั่งนู้น บอกห่วงลูก ขอกลับไปสักสองสามวัน เดี๋ยวจะข้ามมาใหม่แม่ของเราก็เล่าให้ฟังว่า ก่อนป้าแก้วไปวันนึง แม่เห็นป้าแก้วนั่งตากพัดลมอยู่ แม่มองแกแล้วตกใจ หน้าแกดำคล้ำ หม่นหมองมาก ทีแรกแม่ก็ค้าน บอกถึงกำหนดคลอดแล้ว ทำไมไม่รอให้คลอดก่อน เกิดไปคลอดตอนอยู่นู่นล่ะ จะทำไง แต่สามีแกกับแกก็ยืนยันจะไป แกบอกว่าห่วงลูกอีกสองคนทางนู้น อยากเห็นลูก ไปแค่สองสามวัน แม่ก็ไม่ค้านอีกแกไปได้หนึ่งวันกับคืนนึง ตกเช้าอีกวัน แม่ก็เล่าให้เราฟังว่า ชักแปลกๆ เมื่อคืนแม่ฝันว่าป้าแก้วมายืนอยู่หน้าบ้าน หน้าตาผ่องใส มาบอกว่าพี่ได้ลูกสาวนะ เดี๋ยวนี้พี่สบายแล้ว ไม่ปวดท้องแล้ว แล้วแม่ก็สะดุ้งตื่น เลยมาเล่าให้ฟัง สมัยก่อนยังไม่มีโทรศัพท์อะไรสักอย่าง

แล้วคนที่เดินทางไป มี3คน มีสามีป้าแก้ว ป้าแก้ว แล้วก็ลุงสมพร ก็เป็นญาติทางนี้แหละ แกมาช่วยงานไร่เหมือนกัน แกเป็นคนโผงผาง พูดอะไรไม่ค่อยคิด แกขอไปกะเขาด้วย บอกอยากไปเที่ยวฝั่งลาว

ทีนี้ตั้งแต่ที่แม่ฝัน ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไร จนกระทั่งหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ลุงสมพรกลับมาแค่คนเดียว

แกมาถึงบ้าน ก็รีบบอกเลย แก้วมันไปสบายแล้วนะ มันตายแล้ว แม่ กับ เราได้ฟังแล้วก็รู้สึกตกใจมาก เออ เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆ ลุงสมพรเล่าว่า วันนั้นที่เดินทาง ทางไปหมู่บ้าน เป็นป่าเป็นเขา ฝนก็ตก พอลงรถไป ก็ต้องเดินเท้าต่ออีกไกลมาก ทีนี้ดินมันลื่น ป้าแก้วแกล้มสองสามหน พอไปถึงบ้าน เจ็บท้องจะคลอดเลย เขาก็ไปเรียกหมอตำแยมาทำคลอดให้ และคลอดมาเป็นเด็กผู้หญิง ออกมาได้ไม่นาน เด็กก็ตาย ส่วนป้าแก้วแกร้องโหยหวล เพราะรกไม่ออกมาด้วย หมอตำแยก็คลึงท้องยังไงรกมันก็ไม่ออก ป้าแก้วแกปวดท้องมาก ถึงกับคลานไปทั่วบ้าน ไฟฟ้าก็ไม่มีใช้ จุดตะเกียงเอา ป้าแกคลานไปร้องโอยๆๆไป ไม่นานแกก็ตาย ด้วยความที่กันดารมาก จะไม่มีหมออะไรเลย ทางนู้นเขาก็เอาป้าแก้วกับลูกสาว ใส่แคร่หามไปฝังในคืนนั้นเลย ลุงสมพรแกเลยอยู่เป็นเพื่อนสามีแกต่ออีกเกือบอาทิตย์ แต่ไม่มีใครกล้านอนบ้านแกกันสักคน พอกันอพยพไปนอนบ้านญาติกันหมด ลุงสมพรเล่าต่อว่า ตกกลางคืนมา มืดก็มืด แต่ละบ้านก็จุดตะเกียงเอา มันเงียบมาก เสียงอะไรดังหน่อย ก็ได้ยินกันทั้งหมู่บ้าน ตั้งแต่ป้าแก้วตาย ตกดึกมา คนในหมู่บ้านจะได้ยินเสียงป้าแก้วร้องไห้ครวญครางเหมือนคืนที่แกคลอดลูก บางคืนก็จะเป็นเสียงป้าแก้วร้องเพลงกล่อมลูก คนในหมู่บ้านไม่มีใครกล้าออกไปไหนตอนกลางคืนกันเลย แต่ลุงแกเป็นคนไม่กลัวผี แกว่าไม่น่ากลัวหรอก ได้ยินแค่เสียงเอง เมื่อลุงแกเห็นสมควรแก่เวลา แกก็ขอลากลับมาช่วยงาน แต่แกตบบท้ายว่า ก่อนมาแกพูดว่า “ป่ะแก้ว ไปเที่ยวฝั่งนุ้นกัน”

คืนแรกที่ลุงสมพรกลับมาถึง ไม่ได้นอนบ้านตั้งแต่คืนแรก บ้านเรานี่สมัยนั้นก็มีไฟฟ้าแล้ว แต่ยังไม่ได้เจริญเท่าไหร่นัก รอบๆบ้านก็ยังคงสภาพเป็นป่า ที่มีต้นไม้ใหญ่ เงียบสงบทั้งหมู่บ้านเช่นเดียวกัน ตอนนั้นพ่อของเราแกก็ไปนอนเฝ้าไร่ ที่บ้านก็มีแม่ เรา น้องชาย แล้วก็ลุงสมพร ข่าวป้าแก้วตาย คนในหมู่บ้านก็ได้ยินจากลุงสมพรครบทุกหลังในวันนั้นแ พอค่ำเท่านั้นแหละ บ้านใครบ้านมัน ทีวีสมัยนั้นก็ยังไม่มีดูกัน จะมีก็แต่บ้านคนรวย ซึ่งนั่นแหละ ใครจะกล้าเสี่ยงเดินไปดู เพราะ ตอนป้าแก้วอยู่ ป้าแกเดินเที่ยวทั้งหมู่บ้าน รู้จักทุกคน คืนนั้นเลยเงียบวังเวงเป็นพิเศษ แต่มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมา แทบจะพร้อมกันทั้งหมู่บ้าน คือ เสียงหมาหอน หมามันเริ่มหอนรับกันเป็นทอดๆมาตั้งแต่หน้าปากซอย สมัยก่อน ที่ดินจะมีแต่ผืนใหญ่ๆ ที่อาศัยอยู่ส่วนมากก็จะเป็นญาติๆกัน ไม่มีรั้วบ้าน ซึ่งแน่นอน หมาของทุกครัวเรือน สามารถเดินเพ่นพ่านไปได้ทั่วอาณาจักร เสียงหอนไม้หนึ่ง ไม้สอง เริ่มมาตั้งแต่ปากซอย แล้วก็พากันหอนรับกันทุกตัวในหมู่บ้าน หมาทุกตัวมารวมตัวกันหอนอยู่หน้าบ้านเรา เดินหอน วนไปวนมารอบเรา โดยมิได้นัดหมาย นั่นแหละ ความคิดทุกคนในบ้านผุดมาอย่างชัดเจน บ้านเราสมัยนั้นเป็นบ้านไม้ ห้องที่ให้ป้าแก้วนอน อยู่ติดกับห้องแม่เลย คืนนั้นแม่ เรา น้องชาย ไปนอนรวมกันสามคนที่ห้องแม่ น้องชายยังเด็กมาก ไม่รู้ประสาหลับไปแล้ว เหลือแต่แม่กับเราสองคนที่ยังไม่หลับ ส่วนลุงสมพร อย่าไปหวังจะพึ่งพาอะไร ตกหัวค่ำ นู่น เดินออกไปลาดตะเวนบ้านนั้นบ้านนี้ กลับมาก็ดึกๆนู่นแหละ ด้วยความที่แกเป็นคนค่อนข้างเกิน แกไปไหนมาไหนไม่กลัวผีหรือคนร้ายอะไรสักอย่างตามประสาของแก

ถึงนาทีนี้ เรากับแม่ได้แต่นอนมองหน้ากัน ตาสว่างไม่กล้านอน หูก็เงี่ยฟังเสียงนอกบ้าน แล้วบ้านก็เป็นบ้านสมัยเก่าด้วยนะ มีใบไม้ให้รอบบ้าน อยู่ๆก็มีเสียงเหยียบใบไม้กรอบๆแกร่บๆ ฝีเท้าเดินหนักๆ ซึ่งไม่ใช่ฝีเท้าหมาแน่ๆ ตอนนั้นแม่จึงตัดสินใจตะโกนออกไป “ใคร…ลุงสมพรหรอ” เงียบ…ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ตอนเด็กนี่ขนาดว่าไม่ค่อยประสา ก็ยังกลัว เรารู้ว่าแม่นี่กลัวกว่า เพราะ เหงื่อแม่เม็ดเบ้อเริ่ม แถมหน้าซีด ไอ้เรานี่มันเด็กอยู่กับแม่ กลัวยังไงก็อุ่นใจเยอะ ก็นั่นแหละ เสียงฝีเท้าเดินรอบๆบ้าน สมัยนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องขโมยขโจร ทั้งละแวกญาติพี่น้องกันหมด คือ ถ้าหลงมาแสดงว่าซวยสุดละ

เข้าเรื่องต่อตอนนั้นนอนมองหน้าแม่ เสียงนาฬิกาข้างฝาบ้านดังชัดมาก ดังต่อกแต่กๆๆๆ กำลังจะอ้าปากพูด แม่ทำมือแบบว่าอย่าพูดๆ เราเลยเงียบ ก็พากันเงี่ยหูฟังต่อ เสียงฝีเท้าค่อนข้างหนักที่เดินวนรอบบ้านมาสักพักใหญ่ ก็มาหยุดอยู่แถวหน้าต่างห้องนอน หมาก็กรูกันหอน โบร้วววววววววว ยาวๆ สักพัก เสียงฝีเท้านั่นเดินวนไปวนมาอีก ตอนนี้เสียงอยู่ตรงหน้าบ้าน สมัยนั้นหน้าบ้านจะเป็นชาน ที่ใช้ไม้ไผ่ทั้งเล่มตอกตะปูเรียงๆกันเป็นแพ เวลาไผ่แห้ง เวลาเหยียบเสียงจะดังเอี๊ยดๆๆ นั่นแหละ เสียงฝีเท้าแบบคนน้ำหนักตัวเยอะเหยียบขึ้นชานไม้ไผ่หน้าบ้าน ดังเอี๊ยดๆๆ สิ้นสุดแค่ระยะไม้ไผ่ก็เงียบไป เหลือแต่เสียงหมาหอน (นึกในใจมันจะหอนไรนักหนา พรุ่งนี้เหอะ ได้ซื้อยาอมให้พวกมันอมแน่

สักพัก ก็มีอีก เสียงเดินลงชานมาเดินรอบบ้าน แล้วหยุดแถวตรงหน้าต่างอีก ยิ่งดึกหมายิ่งหอน ลุงสมพรก็ไม่กลับสักที ไอป้าก็ง่วงเพราะเลยเวลานอน จะนอนก็นอนไม่หลับ กลัวผีป้าแก้วมาเข้าฝัน ทีนี้ด้วยหัวอกคนเป็นแม่ พรุ่งนี้ลูกจะต้องไปโรงเรียน ขืนนอนตาแข็งกันอยู่บ้านต่อไป คงไม่ดีเป็นแน่แท้ แม่บอกเรา ลุกๆๆ เราก็งงๆ หันดูนาฬิกา ประมาณสามทุ่มกว่า (สมัยนั้นถือว่าดึกมาก) แม่บอกให้พับผ้าห่มกับหมอน แม่จะอุ้มน้อง แล้วจะช่วยหอบของบางส่วน ตอนนั้นเรายิ่งงงหนัก ยังไง คือ แม่ๆๆๆ ผีมันอยู่นอกบ้าน แล้วนี่แม่จะคิดการใหญ่ เดินฝ่าผีออกไปเหรอ โอ้ววว หนูไม่เอาด้วยนะแม่ หนูกลัว แม่บอกถ้าอยู่นี่ ก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เผลอๆมันเข้ามาหลอกถึงในบ้าน (ตอนนั้นแม่ก็คงอยากหาที่พึ่งเหมือนกัน) เราก็อิดออด นอนบิดตัวไปมา คือ จินตนาการไปแล้วว่าพอแม่เปิดประตูออกไป เราจะเห็นป้าแก้วยืนอุ้มลูกยิ้มให้อยู่ที่ชานหน้าบ้าน แม่ยื่นคำขาด ถ้าไม่ไป นอนอยู่ที่นี่คนเดียวนะ เท่านั้นแหละ เราลุกขึ้นทันใด คว้าหมอนกับผ้าห่มของตัวเองได้ ก็รอแม่สั่งการ แม่ก็อุ้มน้องข้างนึง จูงแขนเราข้างนึง ลุกขึ้นออกจากมุ้ง จูงแขนกันมายืนทำใจกันอยู่กลางบ้าน แล้วแม่ก็ถอดกลอนประตู เปิดประตูแล้วรีบออกพร้อมปิดอย่างรวดเร็ว ส่วนเราหรี่ตาแค่พอให้เห็นรางๆเพื่อลดดีกรีความหลอน) แม่คว้าแขนเราได้ก็เดินสาวเท้าสวบๆๆ อึดใจเดียวก็ถึงหน้าบ้านยายปัง แม่เคาะประตู ตะโกนเรียก ยายปังๆ เปิดประตูหน่อย ยายปังออกมาเปิดประตูให้ หมายังยืนหอนเป็นกลุ่มอยู่หน้าบ้าน พอเรากับแม่เข้าบ้านยายปัง แม่ก็บอกยายแกว่าคืนนี้ขอนอนด้วย สรุปคืนนั้นและอีกหลายๆคืน เรามา นอนบ้านยายปัง โพล้เพ้หน่อยรีบอาบน้ำแล้วไปนอนบ้านยายแกเลย ออ ตอนนอน ป้าก็ถามแม่ว่า “แม่ๆ แม่เห็นผีป้าแก้วมั้ย” แม่บอก “ไม่เห็น แม่กลั้นหายใจ” อ้าว แล้วแม่ไม่บอกหนู หนูจะได้ทำตาม นี่หนูหรี่ๆตาเอา แม่บอกแม่หัวตื้อๆ คิดอะไรไม่ออก ผุดคิดขึ้นมาได้ตอนก่อนจะเปิดประตูนั่นแหละ แม่บอกเคยดูหนังผี ถ้ากลั้นหายใจ ผีมันจะมองไม่เห็น แม่ก็เลยทำตามนั้นแหละ

ตกคืนนั้น แม่กับเรานอนหลับปุ๋ยเลย เพลียจิตกันมาก ลุ้นผีโผล่มากกว่าลุ้นฟังหวยทางวิทยุซะอีก เรากับแม่ไม่มีใครฝัน แต่คนฝันเป็นยายปัง ยายปังฝันว่าป้าแก้วยืนอยู่ชานไผ่หน้าบ้าน หันหน้าเข้าหาประตูบ้าน ยืนนิ่งๆอยู่อย่างนั้น แต่เข้าในส่วนของตัวบ้านไม่ได้ เพราะ มีผีบ้านผีเรือนยืนขวางอยู่ เรื่องแผลงฤทธิ์ของป้าแก้วยังไม่หยุดแค่นี้ แกตามหลอกคนแทบจะทั้งหมู่บ้าน ลุงสมพรที่ว่าผีไม่รังแกคนบ้า แกยังไม่เว้น สมคำที่โบราณว่าผีตายทั้งกลมนี่เฮี้ยนสุดๆ ลุงสมพร แกเป็นคนแนวมุทะลุ โผงผาง (แต่ใจดี) จึงไม่มีสาวใดมอบใจมาสมัครรักใคร่ เพราะ ยังไม่มีรจนาที่จะมามองเห็นรูปทอง จะเห็นกันก็แต่รูปเจ้าเงาะป่าซาไกของแกนั่นแหละ ลุงแกบอก “ที่จริงลุงเป็นคนหน้าตาดี ติดแค่ที่ว่าขี้เหร่นี่แหละ” ทำเอาหลานๆที่นั่งฟังอยู่เกาหัวโล้นแกร่กๆ อันที่จริงจะว่าไม่มีรจนาก็ไม่ใช่เสียทีเดียว มีสาวม่ายใหญ่นางนึงมาเมียงมองชะม้ายชายตาอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความที่ว่าลุงแกมีโสลแกนประจำกาย ถึงไม่หล่อก็เลือกได้ ทำให้แกครองโสดมายาวนาน
ด้วยความที่แกเป็นคนไม่กลัวผี โผงผาง แกเลยตะโกนชวนผีป้าแก้วข้ามมาเที่ยวหาญาติฝั่งไทย และด้วยความใจง่ายของผีป้าแก้ว แกก็ตามมาแต่โดยดีเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจคนชวน ทางครอบครัวเราก็ยึดถือตามคำโบราณ ใครถึงเรือนชานต้องต้อนรับ เลยต้อนรับผีป้าแก้วโดยให้แกยืนอยู่หน้าเรือนชาน

คืนแรกที่เดินฝ่าขวากหนามออกมายามดึก พอแม่กับเราออกมานอนบ้านยายปังได้สักพัก ลุงสมพรแกถึงกลับเข้าบ้าน เดินแอ่วบ้านเหนือบ้านใต้สมใจแกแล้วกระมัง แล้วพอแกกลับบ้านมาไม่เจอลูกเจอหลาน แทนที่จะออกตามหา หรือ เอะใจสักหน่อย แต่เปล่าเลย ด้วยความเป็นลุงสมพร แกก็ใช้ชีวิตต่อตามปกติ ตกเช้ามาแม่กับป้าก็พากันกลับเข้าบ้าน ลุงสมพรนั่งอมเมี่ยงรออยู่หน้าชาน ทำหน้ายิ้มปรี่ เอ่ยปากถาม “เมื่อคืนพากันไปไหนมา เป็นไง โดนผีอี่แก้วหลอกมั้ย” แม่ก็ตอบว่า นี่ถ้าไม่พากันไปขอนอนบ้านยายปัง คงไม่ได้นอนกันทั้งคืนแน่ ลุงสมพรบอก เเกเองที่ชวนป้าแก้วมา แต่แกไม่ได้ตั้งใจ แค่พูดชวนไปเล่นๆงั้นแหละ ไม่นึกว่าจะตามมาจริง เมื่อคืนหลังจากที่แกกลับเข้าบ้าน แกก็เห็นหมายืนหอนอยู่หน้าบ้าน เปิดบ้านเข้าไปก็คิดว่าหลับกันหมด เห็นปิดไฟแล้ว แกก็เข้าห้องนอนแกไป ทีนี้ดึกๆ แกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ (สมัยกระนู้น ส้วมนี่จะอยู่นอกตัวบ้าน ต้องเดินไปทางหลังบ้านที่เป็นป่าหน่อย แล้วก็ค่อนข้างมืด แกหยิบไฟฉายเดินลงหลังบ้านไป) ตรงชานหลังบ้านจะมีชานอยู่ มีแท่นที่เอาไว้วางหม้อน้ำ/แขวนกระบวยตักน้ำ ตาแกเหลือไปเห็นนกเค้าแมวตัวใหญ่เกาะอยู่ จ้องมาที่แกตาเขม็ง แกโบกมือโบกไม้ตะโกนไล่ มันไม่ยอมไป มันจ้องมองแกอยู่อย่างนั้น ซึ่งผิดวิสัยนกป่า แกเลยเอ่ยปากถาม “อีแก้วเหรอ ไปซะ ถ้าไม่ไป กรุจะเอาหนังกะติ๊กยิง” แกตวาดไป นกตัวนั้นมันก็บินหนีเลย ทีนี้ระหว่างทางที่จะไปห้องน้ำ ขวามือนี่ จะปลูกต้นกล้วยไว้ดงนึง ลุงแกปวดหนักขึ้นเรื่อยๆ ปานข้าศึกจะทะลวงประตูค่ายแตกเสียให้ได้ หางตาแกดันไปเห็นที่ตรงดงกล้วย มีเงาร่างลางๆ ยืนจ้องแกอยู่ ดูจากทรงแล้ว แกรู้เลยว่าเป็นป้าแก้ว ป้าแก้วมายืนนิ่งๆ ใส่ผ้าถุง ยืนมองแกท่ามกลางดงกล้วยอยู่อย่างนั้น แกบอกวินาทีนั้น แกไม่สนใจละ ผีเผออะไรชั่งหัวมัน ขอไปไล่ตีข้าศึกออกจากเมืองสยามก่อน ว่าแล้วแกรีบสาวเท้าไปทำการศึก พอแกได้รับชัยชนะ ปราบข้าศึกออกจากเมืองไปหมดแล้ว ก็ย่างเท้าออกมาจากสนามรบ แกก็ไม่เห็นแล้ว (สงสัยป้าแก้วจะตกใจเสียงปืนใหญ่ เลยหนีไป

แกเดินตัวเบากลับมานอนต่อ พอหัวถึงหมอนแกก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนรอบบ้าน เปิดหน้าต่างดูไม่มีอะไร แกก็นอนต่อยันเช้า ไม่ฝงไม่ฝันอะไรสักอย่าง

นี่ล่ะ สมกับเป็นลุงสมพรที่ชาตินี้ไม่เคยกลัวอะไร นอกจากลูกเจี๊ยบ เคยสงสัยทำไมคนห้าวหาญอย่างลุงสมพรถึงได้กลัวลูกเจี๊ยบ แกเล่าว่าสมัยเด็ก บ้านเลี้ยงไก่ไว้มาก แกวิ่งเล่นเท้าเปล่าตามประสา(คนสมัยก่อนไม่นิยมสวมรองเท้า) ทีนี้เผลอไปเหยียบลูกเจี๊ยบเข้าเต็มเปา แกยกเท้าขึ้นมาดู ตับไตไส้พุงมันทะลัก แกขนลุกไปทั้งตัวทั้งหัว อ้วกแล้วอ้วกอีกจนหมดไส้หมดพุง ไข้จับไปหลายวัน ทำเอาเกือบตายเพราะยาหม้อ ตั้งแต่นั้นมา ก็ฝังจิตฝังใจแกมาตลอด เจอลูกเจี๊ยบทีไรเป็นต้องขนลุกไปหมด แถมยังมวนท้องอยากจะอ้วกอีก นี่ล่ะนะคนเรา ย่อมมีจุดอ่อนเป็นธรรมดา ด้วยความเป็นเด็กดีน่ารักเรียบร้อยของเรา ตั้งแต่รู้ความลับนั้นมา เราก็มักจะไปวิ่งไล่จับลูกเจี๊ยบมาโยนใส่ตักแก แรกๆแค่โดนพ่อกับแม่ดุ หลายหนเข้าก็โดนไม้มะยมศักดิ์สิทธิ์ของพ่อซะน่องลาย

ติดตาม RedMoon ค่ำคืนสีเลือด

GhostStoryThai.com อ่านเรื่องผี

แชร์เรื่องนี้

เรื่องอื่นๆ