มโนราห์อาถรรพ์
>>>>ดิฉันเป็นลูกหลานชาวพัทลุง ค่อนไปทางติดนคร เป็นเมืองแห่งมโนราห์และหนังตะลุง<<<<
ใช้ชีวิต เติบโตมากับเสียงกลอง เสียงร้องของหนังตะลุงและมโนราห์ สมัยเด็กๆดิฉันเคยขอพ่อไปเรียนรำมโนราห์ เพราะรู้สึกชอบในท่วงท่าการร่ายรำและการแต่งกาย การขับขานบทกลอนออกมาด้วยสำเนียงที่น่าฟัง แต่พ่อสั่งห้ามเด็ดขาด ดิฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงห้าม เคยไปถามเหมือนกัน คำตอบที่ได้คือ
“มืงอยากเป็นบ้าเออ ของพันนี้ มืงรับมาแล้ว วันไหนไปผิดครูขึ้นมา เค้าได้เอามืงตายไม่ก็บ้าเสียและ อย่าเที่ยวไปยุ่งต่ะ หาไอ่อื่นเรียนต่ะนุ้ย”
…..ดิฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าพ่อกังวลเกินไปหรือเปล่า แค่คนจะอยากรำร้องมโนราห์ ต้องกลายเป็นบ้าหรือตายเลยหรอ แต่ก็ไม่อยากขัดใจพ่อ
จนโตมาก็ได้ไปพบ กับบุคคล บุคคลหนึ่ง ที่ตอบโจทย์สิ่งที่พ่อบอกได้พอดี ดิฉันจึงขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ว่ามันดูลึกลับดีเหมือนกัน
…..ช่วงตอนเรียนปีหนึ่ง ดิฉันขยันกลับบ้านทุกสัปดาห์ ที่ป่าพยอม แต่ก็มีบางครั้ง ขออนุญาตพ่อ ไปนอนบ้านตากับยายที่ศรีบรรพต
และครั้งนั้นก็เช่นกัน ดิฉันนั่งรถสองแถวไปลงที่3แยกเขาปู่ ก่อนที่จะโทรให้ตามารับ ตาก็จะส่งหลานสาวอีกคนมารับ ก็เรียนอยู่แค่ ม.3
นางจะดีใจมากที่ดิฉันไปที่บ้านตากับยาย เพราะดิฉันแต่งตัวสวยและมีของฝาก นางจะชอบขอถ่ายรูปคู่แล้วเอาไปลงเฟสอวดใครต่อใครว่า
นางมีพี่สาวสวย
…..บ้านของตากับยาย ต้องขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปลึก เป็นสวนยางและอยู่ติดเทือกเขาที่กั้นระหว่างพัทลุงกับตรัง อ.ศรีบรรพต ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า
อำเภอนี้มีดีที่ภูเขา และน่าจะเป็นอำเภอเดียวของจังหวัดเลยก็ว่าได้ ที่ไม่มี เซเว่น แต่หากสำรวจจริงๆ อำเภอนี้มีถ้ำหลายถ้ำที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่มีความกว้างใหญ่ตระการตาทีเดียว อำเภอนี้มีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่วิวสวยใช้ได้ทีเดียว และมีน้ำตกเล็กๆชื่อน้ำตกเหรียงทอง ทางขึ้นค่อนข้างชันทีเดียว แต่ทางราดยางจนถึงตัวน้ำตกไปสะดวก
…..เพราะความสงบที่มีค่อนข้างมาก ดิฉันเลยชอบมาที่บ้านยายในช่วงหลังๆ ชอบเดินตามตาเข้าไปในสวนผลไม้ที่อยู่ติดกับภูเขา
แรกๆก็ลำบากเหมือนกัน เพราะดิฉันชอบนุ่งกางเกงขาสั้น แม้แต่ตอนเดินตามตาเข้าสวนผลไม้ก็ขาสั้นแบบนั้น ตอนเข้าไปขาอ่อนขาวเข้าไปเลย
แต่พอตอนกลับ ขาแดงออกมาและเต็มไปด้วยตุ่มผื่น จากการโดนยุงกัด ดิฉันจะโดนยายดุทุกที จนหลังๆ ก็มีตัวช่วยคือทาโลชั่นกันยุงก็กันได้เยอะ
แต่ยายก็จะเตือนๆเสมอว่า
“อินุ้ยเอ๊ย เป็นสาวเป็นนาง เดินเข้าป่า อย่าเที่ยวใส่กางเกงขาสั้นนักแรง เดี๋ยวคนอิฉุดเอาไปทำเมียเสียหั้นเดี๋ยวผีปงผีป่าเค้าอิว่าไปลบหลู่แล้วเคืองเรา”
……คนที่ใช้ชีวิตอยู่กับป่าแบบตายาย แกจะกลัวและเคารพผีป่าผีดอยอย่างมาก ซึ่งดิฉันก็เชื่อในสิ่งที่ยายบอก เพราะตัวเองก็เป็นคนสัมผัสผีได้
อยากเห็นท่านเหมือนกันเจ้าป่าเจ้าเขา ว่าท่านจะมีลักษณะยังไง เคยนั่งคิดเล่นๆนะว่า ทำไมท่านผีเทวดาเจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าน้ำต่างๆชอบใส่ชุดไทย
หรือชุดบ้านๆ นี่มันยุคโปเกม่อนครองนคราแล้ว ท่านน่าจะเปลี่ยนมาทรงสูท ใส่แว่นดำดูบ้างก็น่าจะเท่ไม่หยอก หรือคงเพราะกลัวคนไม่กลัวละกระมัง
…..ดิฉันนั้น ชอบหยอกตาเล่น ชอบแหย่แกด้วยคำถามกวนๆเสมอ เพราะไม่อยากให้ตาทำหน้าขรึม จริงๆตาเป็นคนที่มีเค้าของหนุ่มหล่อในอดีต
ถึงผมจะหงอก ผิวหนังจะย่นแล้วก็ยังมองออก ดิฉันชอบไปแอบถามยายว่าสมัยหนุ่มๆ ตาหล่อไม๊ ยายก็จะหัวเราะแล้วบอก เอ้อ..ก็หล่อนั่นและ
แล้วทำไมตาต้องทำหน้าขรึมๆด้วยนะ…ยายก็บอกว่า ตาน่ะจะชอบเก๊กขรึมเวลาดิฉันมาเท่านั้นแหละ เวลาอยู่กันสองคน ตาน่ะก็รั่วๆใส่ยาย
….ยายบอกดิฉันว่า ที่ตาทำเก๊กน่ะ มันเป็นนิสัยของตามาตั้งแต่สมัยหนุ่มๆแล้ว พอเจอสาวสวยๆก็จะเก๊ก นี่ก็คงกลัวหลานไม่ชอบไงเลยเก๊กหน้าขรึม
ยายบอกว่า ตาน่ะแกเห่อดิฉันมาก พอดิฉันกลับไปแล้ว ก็จะเที่ยวคุยกับคนในหมู่บ้านอย่างยิ้มแย้ม ว่าหลานสาวมาหา อย่างนั้นอย่างนี้ เพราะก็จะมีแต่คนยกยอตาว่า เอ้อ หลานสาวสวยดีเนาะคนนั้น อันนี้ยายเล่าให้ดิฉันฟังมาแบบนี้แหละ
….เมื่อไปอยู่ที่บ้านตายาย พอตกกลางคืนหลังกินข้าวกันเสร็จ ดิฉันก็จะชอบไปนั่งที่ระเบียงหน้าบ้านเพราะตาจะชอบไปนั่งสูบบุหรี่ตรงนั้น
แล้วดิฉันก็จะซักถาม พูดคุยกับตาเรื่องผีๆสางๆอาถรรพ์อะไรต่างๆ ตาก็จะมีเรื่องเล่าอาถรรพ์บ้าง โจรบุกปล้นสมัยก่อนบ้าง ผีต่างๆนาๆที่ตาเคยพบเจอมาเล่าให้ฟังไม่มีเบื่อ บางครั้งก็จะมียายมาช่วยเล่าเสริมไปอีก การได้นั่งมืดๆบนบ้าน ในบ้านป่า แล้วฟังคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องผี สิ่งลี้ลับให้ฟังนี่มันได้อารมณ์จริงๆ และถึงดิฉันจะเชื่อเรื่องพวกนี้มากๆ เพราะเจอกับตัวบ่อยๆ แต่ก็ชอบถามแบบกวนๆตาเล่น เช่น ตาเล่าว่า
“เวลาเราจะเข้าป่า จะไปเอาพืชเอาสัตว์ในป่า เราต้องทำพิธีขอเบิกทางก่อน จะมีไก่ต้ม ดอกไม้ธูปเทียน หมากคำ และเหล้าขาว”
“ตา แล้วถ้าเราเอาสก๊อตวิสกี้ หรือบรั่นดี วอสก้า อะไรพวกนี้ถวายแทนล่ะได้ป่าว ท่านจะโปรดกว่าวิสกี้พื้นบ้านของเราไม๊”
…??????….. ตาก็จะอึ้งนิ่งคิดไปเหมือนกัน….เอ้อ ก็น่าจะได้เหมือนกันนะ ท่านอาจจะโปรดก็ได้ แต่ลำบากเรา เพราะเหล้าพวกนั้นมันแพง
นี่ก็เป็นเรื่องราวเล็กๆน้อยๆของชีวิตดิฉันเวลามาอยู่กับตาค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะบอก แล้วมันเกี่ยวอะไรตรงไหนกับอาถรรพ์มโนราห์
เรื่องมันเริ่มจาก
…..คืนนั้นดิฉันมานั่งเล่นโทรศัพท์คนเดียวที่ระเบียงหน้าบ้าน และบ้านของตายาย จะเป็นบ้านแบบยกเสาสูง พอดิฉันนั่งตรงระเบียงก็จะมองออกไปเห็นเส้นทางเล็กๆที่ตัดผ่านหน้าบ้าน เป็นถนนในหมู่บ้าน ที่คนละแวกนั้นใช้เดินทาง แต่ที่นี่ แค่2ทุ่มก็เงียบสงัดแล้ว เพราะคนบ้านนอกจะนอนกันไว ไม่ก็เก็บตัวไม่ออกมาเพ่นพ่านเหมือนในเมือง คือมันเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองเลย
….ดิฉันก็นั่งคุยกับเพื่อนเพลิน แบบแชทรัวๆตามประสาหญิง แปบเดียวก็เที่ยงคืน เลยบอกลาเพื่อนจะขอไปนอนแล้วเพราะคนอื่นนอนกันหมดแล้ว
เราก็นั่งอยู่แบบมืดๆแบบนั้นแหละ แต่พอเก็บโทรศัพท์แล้วจะเดินเข้าห้อง ก็มีเสียงลอยมาตามลม แบบ
…ตึง ตึ่ง ตึง โป๊ะ ตึงๆตึ่งโป๊ะ โป๊ะๆๆๆ
….แล้วก็ตามด้วยเสียงขับร้องกลอนมโนราห์แว่วมา ทำนองแบบโหยหวนเหลือเกิน จนดิฉันขนลุกขนพอง มันเป็นการขับร้องกลอนมโนราห์น่าจะเรียกว่า
ร้องไปสะอื้นไป เป็นเสียงผู้ชาย แว่วมายามดึก ดิฉันเป็นคนขี้สงสัยอยู่แล้ว ก็เลยนั่งฟังต่อ แบบเสียงตีทับตะโพนหรืออะไรไม่แน่ใจ
มันดัง >>>ตึงๆตึงโป๊ะๆ<<<<อยู่แบบนั้นสลับกับการขับร้องกลอนมโนราห์ และอารมณ์การร้องประมาณการขับร้องในงานศพยังไงไม่รู้
คือมันเป็นการร้องมโนราห์ปนร้องไห้มากกว่า
…..นี่มันเที่ยงคืนแล้วนะ ใครที่ไหนกัน มานั่งตีทับตีตะโพน และขับร้องกลอนมโนราห์อยู่ ดิฉันก็ไม่ลุกไปไหน นั่งฟังเสียงร้องกลางดึกอยู่แบบนั้น
แล้วเสียงที่ว่า ทำไมมันเริ่มรู้สึกว่าเหมือนมันจะเข้าใกล้เรามาเรื่อยๆยังไงไม่รู้ได้ ดิฉันก็บ้านั่งฟังอยู่ไม่ลุกหนีอีก สักพักเสียงร้องหายไป
ดิฉันก็ยังเหงี่ยหูฟัง แต่ก็เงียบสนิท เลยตัดสินใจอ่ะ คงเลิกร้องแล้วมั้ง ดิฉันเลยจะไปนอนเสียที
….แต่พอลุกขึ้นยืน คุณพระ หัวใจดิฉันหล่นวูบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะตกใจ
สายตาดิฉันมองฝ่าความมืดออกไป เห็นเงาร่างคนบนถนน ในใจตอนนั้นคิดขึ้นมาทันทีว่า “ผี”
แต่ผีตนนี้ ไม่ใช่เดินธรรมดาแบบคนทั่วไป แต่เดินไปรำโนราห์ไป คือมีท่าดัดตัวหักหัวลงพื้นอะไรแบบนี้มาแบบจัดเต็มมาก
ดิฉันก็ยืนมองนิ่งๆไปแบบนั้น ดูท่าเขาจะไม่สนใจดิฉันด้วย เงาที่ว่าก็ยังค่อยๆรำมโนราห์พร้อมๆกับการเก้าไปข้างหน้าอยู่แบบนั้น
….จนผ่านหน้าบ้านดิฉันไป ดิฉันก็ยืนขนลุก ว่า อูยยยย ผีรำโนราห์ให้แล เต็มๆเลย สงสัยพอร้องเสร็จ ก็ออกรำมาจนผ่านหน้าบ้านตายายดิฉันเลย
พอตอนเช้า ดิฉันก็เล่าเรื่อง ได้ยินผีตีทับตีตะโพนร้องกลอนโนราห์ และมารำให้เห็นผ่านหน้าบ้านเราเมื่อคืน ตาก็หัวเราะ เหอะๆๆ
“ไม่ช่ายผีหรอก ที่นุ้ยเห็นและได้ยินแรกคืน”
“อ่ะละ ม่ายช่ายผีพรือล่ะตา กะเบอะ เที่ยงคืน คนแต่ไหนอิบ้ามาร้องโนราห์ตีกลอง เดินออกมารำอยู่ ม่ายช่ายผีแล้วไอ่ไหรเหอ”
“อ้ายนั้นล่ะมันตาฉิ้น มันกลายเป็นคนบ้าไปเสียนานแล้ว แต่ก่อนน่ะมันก็คนดีๆนี้และ ยังชิงกันจีบยายแข่งกับตามาก่อนเลยสมัยก่อน”
“แล้วไซ แกได้บ้าเสียพ้นอ่ะ”
“ก็มันไปผิดผีผิดครูหลบหลู่ดูหมิ่นโนราห์เข้าแล เขาถึงทำมันบ้าพ้น ต้องมาชดใช้กรรมให้เค้าทั้งที่ยังเป็นๆพันนี้”
……แล้วตาก็เริ่มเล่าว่า สมัยก่อนบ้านตาฉิ้น เป็นครอบครัวโนราห์ คือนอกจากทำสวนผลไม้แล้วก็ไปรำโนราห์ตามงานนี่แหละ
การเดินทางสมัยก่อนก็เป็นจักรยาน บ้านตาฉิ้นก็จะไปรำกัน ตอนนั้นตากับตาฉิ้นเนี่ย ก็รุ่นๆเดียวกัน แต่ตาฉิ้นแก่กว่าตา2ปี
คือที่บ้านตาฉิ้นเนี่ย ก็ฝึกโนราห์ให้ตาฉิ้น ตาฉิ้นก็ทำได้ และร้องดีด้วย แต่ต่อมาตาฉิ้นไปชอบสาวคนนึงแถวบ้านโพรงงู
สาวคนนั้นก็เป็นเพื่อนกันกับยายดิฉันนี่แหละ แต่ตายไปนานแล้ว
…..ตอนนั้นตาฉิ้น ปั่นจักรยานไปจีบสาวพร้อมๆตาที่โพรงงู ตอนแรกก็แข่งกันจีบยายทั้ง2คน แต่ยายชอบนิสัยตามากกว่า เพราะตาไม่ขี้อวด
จนตาได้ยายเป็นเมีย ตาฉิ้นเลยหันไปจีบเพื่อนของยายที่สวยไม่แพ้กันแทน แต่ตาฉิ้นนั้นแกเทียวจีบเพื่อนยายเท่าไหร่ก็จีบไม่ติด
เพราะสาวคนนั้นไม่ชอบผู้ชายรำโนราห์ ตาฉิ้นพอรู้ แกก็ไม่เอาแล้วโนราห์ ขอที่บ้าน ขอเลิกรำ ที่บ้านทัดทานแกก็ไม่ยอมฟัง
ด้วยความที่อยากได้สาวคนนี้มาเป็นเมียให้ได้ แกยอมเลิกยอมตัดสิ่งที่ครอบครัวทำมาหากินเลย ตาฉิ้นแกก็หันไปเป็นคนตีทับตีตะโพนแทน
เพราะยังต้องทำมาหากิน
….ทีนี้ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกับสาวคนนั้น ตาบอก ทีแรกก็คิดว่าตาฉิ้นจะสมหวังแล้ว เพราะเห็นช่วงนั้นเพื่อนของยายคนนั้น ยอมไปไหนมาไหนกับฉิ้น
แต่ไม่รู้ไปทำอิท่าไหนเข้า จู่ๆ มีคนมาแต่เมืองลุง มาสู่ขอ แล้วสาวเพื่อนยายก็ตอบตกลง ตาฉิ้นพอรู้แกก็ร้องไห้ไม่ทำอะไรเลยทีนี้
เที่ยวเดินไปตรงนั้นตรงนี้ เอาแต่ร้องไห้ รำพันเป็นกลอนโนราห์น่ารันทดนักหนากับคนที่ผ่านมาเจอ
“เราเด็กบ้านๆเราเด็กโนราห์ สากลัวเธอไม่สนใจ เราเด็กบ้านๆคงไม่สาไหร ไม่ถูกใจเหมือนเด็กเมืองลุงในหลาด” แฮะๆ อันนี้ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันร้องเอง
….พอเสียใจจนหายแล้ว ตาฉิ้นแกก็เคืองว่า ที่แกไม่ได้กับสาวคนนั้น เพราะสาวเกลียดที่ครอบครัวแกเป็นโนราห์….
“ไอ่ฉิ้นมันบ้า พอไม่ได้สาว มันกล่าวโทษว่าเพราะโนราห์ทำให้มันไม่ได้เมีย”
“แล้วแกทำไงล่ะตา”
“ตอนแรกมันก็ม่ายทำไหร ก็ยังไปตีกลองตีตะโพนหากินกับทางโนราห์เป็นรายได้เสริมอยู่ แต่พอพ่อแม่มันตายหมด ศพพึ่งเผาเลย ข้าวของทุกอย่างเป็นของมันหมดมันก็ประกาศยุบคณะโนราห์ แบบบ้านใครบ้านมัน แล้วเหมือนมันแค้นมานาน มันก็เอาพวกชุดโนราห์ เทริด แลข้าวของที่เกี่ยวกับโนราห์ทั้งเพ เผามั่ง ที่เผาไม่ได้ มันก็เอาไปโยนลงคลองหมด เหลือไว้แต่ตะโพนที่มันตีประจำลูกนึงเท่านั้นและ”
” พอมันทำพันนั้นได้ไม่ถึง3วัน ก็มีคนเห็นมัน อุ้มตะโพนได้ลูกนึง เที่ยววิ่งร้องลั่นไปตามสวนยาง ว่า กลัวแล้ว อย่าทำกู”
“แกเคยบอกไม๊ตาว่าแกเจออะไร สาว่าของพวกโนราห์ครูแรงจะตาย”
……ตาบอกว่าช่วงแรกๆที่ตาฉิ้นยังพอพูดกันรู้เรื่องอยู่ ก็มีคนไปเยี่ยมที่บ้าน ไปสอบถามกัน ตาฉิ้นแกก็บอกว่า มีเงาดำๆสวมชุดโนราห์มายืนล้อมบ้านแกทุกคืน มาร้องกลอนโนราห์เสียงเหมือนผีเปรตระงมรอบบ้าน มากันเต็มไปหมด แกก็เอาแต่นอนพนมมือร้องไห้ตัวสั่นอยู่บนบ้าน
ทีนี้คนอื่นๆก็ไม่รู้จะช่วยแกยังไง เคยมีคนไปพาหมอผีมาช่วย หมอผีก็ไล่กลับบอก “กรรมของมัน กูช่วยไม่ได้ ผีนั้นกูสู้ไม่ได้”
….แล้วตาฉิ้นก็อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ แกยังกรีดยางขายได้อยู่นะ แต่พอเป็นหนักเข้าก็อย่างที่ดิฉันเห็น คือแกจะร้องโนราห์ตอนดึกๆตีโพน แล้วก็ออกมาเดินรำไปตามถนน พอสุดทางแกก็รำกลับไปถึงบ้าน ตาบอกว่า มันเป็นโรคกรรม อาถรรพ์จากการลบหลู่โนราห์…สวัสดีค่ะ
ขอขอบคุณ สมาชิกพันทิป
ติดตามเรื่องผีผี RedMoon ค่ำคืนสีเลือด
อ่านเรื่องผีอื่นๆ GhostStorythai.com