เรื่องเล่าจากทางบ้าน เสียงเรียกมรณะ

 เรื่องเล่าจากทางบ้าน เสียงเรียกมรณะ

เรื่องเล่าจากทางบ้าน เสียงเรียกมรณะ

แชร์เรื่องนี้

             สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่ะ เราชื่อมด เรามีเรื่องเล่าประสบการณ์หลอนเกี่ยวกับผี ที่อยากเล่าให้ทุกคนฟังค่ะ มันเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกกลัวที่สูงชันและไม่กล้าไปเที่ยวป่าหรือเที่ยวดอยอีกเลย

             เรื่องนี้เกิดเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เราเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เราได้มีโอกาสไปออกค่ายอาสาของชมรมหนึ่ง สถานที่ที่เราไปเป็นหมู่บ้านบนเขา ซึ่งยังห่างไกลจากความเจริญอยู่มาก  ทางขึ้นไปที่หมู่บ้านจึงค่อนข้างจะลำบาก และเมื่อกลุ่มของเราเดินทางมาถึงครึ่งทางรถยนต์ที่เรานั่งกันมาก็ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะทางเป็นถนนลูกรังเล็กๆและช่วงที่เราไปเป็นหน้าฝน ทางค่อนข้างลื่นมีแต่โคลนและเป็นหลุ่มเป็นบ่อ  รถยนต์จึงไม่สามารถขึ้นไปต่อได้

กลุ่มของเราจึงตัดสินใจว่าเราจะขนของโดยใช้มอเตอร์ไซต์ของชาวบ้าน ส่วนคนที่เหลือประมาณ 30 คนจะเดินเท้าขึ้นไป ซึ่งเหลือระยะทางประมาณ 5 กิโลเท่านั้น  

ในการเดินทางขึ้นไปที่หมู่บ้านก็จะมีเจ้าหน้าที่ 4 ท่าน (ทหารพราน)  เดินนำและคอยดูแลพวกเรา (ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ ทางชมรมมีการประสานงานขอความช่วยเหลือจากทหารพรานในพื้นที่)

เราแอบตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เดินชมธรรมชาติข้างทาง  ซึ่งอากาศในขณะนั้นไม่ร้อน ค่อนข้างที่จะมืดครึมเพราะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุมบวกกับมีฝนตกปรอยๆอยู่เป็นระยะ

เมื่อเดินมาได้สักพักเราเริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบ้างอย่างจับตามองฉันอยู่ตลอดเวลา  เราจึงพูดกับเพื่อนทีเล่นทีจริงว่า ‘’มึงรู้สึกเหมือนมีอะไรจ้องมองเราอยู่ไหม เสือปะว่ะ’’  เพื่อนจึงด่ากลับมาว่า ”อี..มึงจะบ้าหรือไง ในป่าเค้าไม่ให้ทัก  มึงอะคิดมาก ”  เราก็หัวเราะไปตามประสา

พอพวกเราขึ้นมาถึงหมู่บ้านก็เกือบเย็นแล้ว ชาวบ้านและเพื่อนของเราบางส่วนที่ขึ้นมาก่อน ยืนรอต้อนรับพวกเราอยู่  พอกินข้าวเย็นเสร็จ ก็พากันเข้าที่พัก ซึ่งห้องเรียนของเด็กๆที่นี้ มีลักษณะเป็นห้องไม้ใหญ่ๆ 3 ห้องติดกัน  และห้องน้ำมีเพียง 1 ห้องเท่านั้น  ผู้ชายจะอาบน้ำในลำธาร ส่วนผู้หญิงจะมีห้องกั้นด้วยหญ้าคาที่ชาวบ้านทำไว้ให้สำหรับกั้นอาบน้ำ ส่วนน้ำที่จะอาบต้องไปตักที่ลำธารเอง  

พอเราเก็บของในที่พักเสร็จ เรากับเพื่อนกลุ่มหนึ่งก็อาสาที่จะไปตักน้ำในลำธารมาใส่ถังเพื่อให้พวกผู้หญิงได้อาบน้ำ  เมื่อมาถึงลำธาร อยู่ๆเราก็รู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองเราอยู่   เราพยามมองหาแต่ก็ไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติ  ตอนนั้นเราไม่ได้บอกเพื่อน เพราะกลัวเพื่อนจะว่าเราคิดมากอีก  เราจึงหันมาตักน้ำต่อและในขณะที่เรากำลังก้มลงตักน้ำในลำธาร เราก็ต้องตกใจ เมื่อเรามองลงไปในน้ำ เราเห็นเหมือนเงาคนดำๆยืนอยู่ด้านหลังเรา แต่เมื่อเราเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่มีใครอยู่ข้างหลังเลย  เพราะเพื่อนต่างยืนรอเราอยู่อีกฝั่งหนึ่งแล้ว เราได้แต่ภาวะนาว่าสิ่งที่เราเห็นหรือรู้สึกจะเป็นเพียงสิ่งที่เราคิดมากไปเอง เราจึงรีบตักน้ำแล้วไปสมทบกับเพื่อนๆ

ในช่วงหัวค่ำ พวกเราก็มารวมกลุ่มนั่งเล่นก่อกองไฟ และทำกิจกรรมร่วมกับชาวบ้าน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ  ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันเข้านอน เพราะข้างบนนี้ไม่มีสัญญาณมือถือ ไม่มีสัญญาณเน็ต ไฟฟ้าก็ยังเข้าไม่ถึง มีเพียงไฟฟ้าที่ชาวบ้านปั่นไว้ใช้ยามจำเป็นเท่านั้น  เมื่อมาถึงที่พักเพื่อนๆผู้หญิงก็ยังคงจับกลุ่มนั่งเล่นนั้งคุยกันในห้องพัก แต่เรารู้สึกง่วงและปวดหัว คงเพราะวันนี้เราเหนื่อยกับการเดินทางและตากฝน  เราจึงนอนฟังเพื่อนๆคุยนิ่งๆ

เราเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงผู้หญิงมาร้องเรียก    

 ‘’หนู หนู ออกมาหาแม่หน่อยลูก’’  

เราเริ่มลืมตาขึ้นมาพร้อมกับมองออกไปในความมืดว่าเสียงมาจากทางไหน และความมืดนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเล็กน้อยจากแสงของพระจันทร์ ที่ดูเหมือนจะไม่เหลือเคล้าเมฆฝนเหมือนเมื่อกลางวันเลย  เราลุกจากที่นอนเดินตามเสียงเรียกนั้นออกไปอย่างง่ายดาย  เหมือนมันเคลิ้มไปกับเสียงที่เรียก  เราไม่ได้คิดอะไรเลย คิดเพียงแค่ต้องเดินออกไปหาผู้หญิงคนนั้น  เราเดินตามเสียงออกมาเรื่อยๆ ก็เห็นผู้หญิงชาวบ้าน ใส่เสื้อลายลูกไม้นุ่งผ้าถุง อายุประมาณ 40-50 ปี ยืนยิ้มให้เราอยู่ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดกับเราว่า

‘’ไปอยู่กับแม่นะลูก แม่คิดถึงหนูมากๆ’’  

แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ยืนมือออกมาหาเราอย่างอ่อนโยนและเรารู้สึกว่าผู้หญิงคนนั้นรักใคร่เรามาก เราจึงยื่นมือออกไปจับมือของผู้หญิงคนนั้นและเดินตามเธอไป

แต่ในระหว่างทาง เรารู้สึกหนาวเย็นและเหมือนเริ่มจะตื่นจากพะวัง  เริ่มได้สติคิดได้ว่า นี่เรากำลังทำอะไร..เราเดินตามใคร..เราจะไปไหน..ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร  คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวเราตอนนั้น  เราจึงหยุดเดินและพยายามดึงมือกลับ แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับรั้งมือเราไว้และเริ่มบีบมือเราแน่นขึ้น เราพยายามสะบัด แต่ไม่เป็นผล ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามาหาเรา ในตาของเธอตอนนี้เปลี่ยนไปจากเดิม ตาเธอแดงกล่ำเหมือนเส้นเลือดในตาจะแตก สีหน้าเธอโกรธจัดปนร้องไห้ และเธอก็ตะเบ็งเสียงว่า

‘’บอกว่าไม่ให้ไป ไม่ให้ไป ทำไมไม่เชื่อแม่ ทำไมดื้อรั้นอย่างนี้’’

แล้วเธอก็ปล่อยมือที่จับเราอยู่ ทำให้เราที่ตอนนั้นกำลังดิ้นสะบัดตัวหนีอย่างแรงหงายหลังล้มลงกลิ้งไปกับพื้น เรารู้สึกเหมือนแขนขาและตัวไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง แต่ตอนนั้นเราก็ไม่มีสติและแรงพอที่จะลุกดูว่ามันคืออะไร ตาเราพร่ามัวสติเราก็เริ่มขาดหายไป เราจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้อีกเลย

เรารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียก  ”มดๆ มดๆ ฟื้นแล้วหรอลูก’’  พอเราลืมตาและตั้งสติได้ก็เห็นแม่เรายืนร้องไห้เรียกชื่อเราอยู่  

แม่บอกว่าเราตกเขาตอนที่ไปค่ายอาสา โชคดีมากที่เราไม่ตกลงไปข้างล่าง  เพราะเรากลิ้งลงมาติดต้นไม้และก้อนหินใหญ่  อาจารย์ที่ปรึกษาชมรมที่ไปด้วยกับเราด้วย บอกแม่เราว่า ไม่มีใครเห็นว่าเราไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร  ไม่รู้ว่าเราละเมอเดินไปเองหรือมีใครพาไป  เพราะสอบถามจากเพื่อนๆและทหารที่คอยดูแลไม่มีใครเห็นเราตอนที่เดินออกจากที่พักเลย  

เราใช้เวลาคิดทบทวนสิ่งที่เกิดอยู่สักพัก เราก็จำได้ว่า เราไม่ได้ละเมอเดินไปเอง แต่มีผู้หญิงคนหนึ่งมาเรียกเราออกไป ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใครและต้องการอะไรจากเรา

เมื่อเพื่อนๆรู้ข่าวว่าเราฟื้นแล้ว ก็ทยอยกันมาเยี่ยม เราจึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราให้เพื่อนๆฟัง  ซึ่งไม่รู้ว่าเพื่อนๆจะเชื่อหรือไม่ หรือจะคิดว่าเราละเมอเดินออกไปเอง

แต่เมื่อเราเล่าจบ เพื่อนที่นั่งฟังต่างมองหน้ากันไปมาและหันกลับบอกเราว่า เชื่อในสิ่งที่เราเล่าให้ฟัง เพราะหลังจากที่ชาวบ้านมาเจอเรานอนอยู่ตรงก้อนหินที่หน้าผา ก็ช่วยกันพาเราขึ้นมาจากตรงนั้น  อาจารย์และเพื่อนๆต่างตกใจก็รีบพาเราลงจากเขาส่งโรงพยาบาล  

ส่วนเพื่อนที่เหลือ ก็ทำกิจกรรมต่ออีกพอเป็นพิธี แล้วรีบเก็บของตามลงมา เพราะเมื่อเกิดเรื่องกับนักศึกษา ทางมหาลัยจึงสั่งงดกิจกรรมที่เหลือและให้นักศึกษากลับมหาลัยทันที  แต่ก่อนที่จะเดินทางกลับ มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเล่าให้เพื่อนเราฟังว่า

‘’อีหนูนั้นมันไม่ได้ละเมอตกเขาเองหรอก ป้าพร้าแกคงจะมาเอาอีหนูนั้นไปอยู่ด้วย’’

 แล้วชาวบ้านก็เล่าต่อว่าก่อนหน้านี้ประมาณปีกว่าๆ  ป้าพร้าแกอยู่กับลูกสาวแค่สองคน ลูกสาวแกก็รุ่นราวคราวเดียวกับพวกหนู หน้าตาละม้ายคล้ายอีหนูที่ตกเขานั้นแหละ  

แต่อยู่ๆลูกสาวแกก็มาขอว่าจะไปทำงานกับเพื่อนในเมือง ป้าพร้าแกไม่ยอมเลยทะเลาะกับลูกสาวหนักมาก จนรุ่งเช้าลูกสาวแกก็หนีไปทำงานกับเพื่อนโดยที่ไม่ฟังคำของแกเลย ป้าแกเสียใจมาก นั่งซึมคิดถึงแต่ลูกสาว จนผ่านไปเกือบเดือนหนึ่ง เพื่อนของลูกสาวแกที่ไปทำงานด้วยกันก็มาส่งข่าวว่า ลูกสาวป้าแกโดนรถชนตายแล้ว และพวกเพื่อนๆไม่รู้จะทำยังไง เงินก็ไม่มี เลยขอให้วัดแถวนั้นช่วยทำพิธีและเผาให้ แล้วนำเถ้ากระดูกกลับมาให้แก  ป้าพร้าโวยวายไม่เชื่อว่าลูกสาวแกตายแล้ว  ตั้งแต่นั้นมา สติแกก็เริ่มไม่ดี ร้องเรียกหาแต่ลูกสาว บางวันก็มีเสียงด่าทอลูกสาว บางวันก็ร้องไห้ เหมือนคนบ้า

จนรุ้งเช้าของวันหนึ่งก็มีคนไปพบศพป้าพร้า แกตกเขาตายตรงที่อีหนูตกไปนั้นแหละ ชาวบ้านบางคนก็ว่าแกฆ่าตัวตาย บางคนก็ว่าแกลื่นตกลงไปเพราะคืนนั้นฝนตกหนักมาก  และตั้งแต่นั้นก็มีคนได้ยินเสียงป้าแกร้องเรียกลูกสาวอยู่บ่อยๆ

หลังจากที่เราได้ยินเพื่อนเล่าให้ฟัง  สมองมันตื้อไปหมด รู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เราก็อดสงสารป้าแกไม่ได้ที่ต้องเสียลูกสาวไป แกคงรักและคิดถึงลูกแกมาก  

หลังจากนั้นเราต้องรักษาตัวเข้าเฝือกแขนและขาที่หักอยู่หลายเดือนกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่มันก็ทำให้เรากลัวไม่กล้าไปออกค่ายอาสาแบบนั้นอีก จนทุกวันนี้เราทำงานแล้ว แต่เราก็ยังคงไม่กล้าที่จะเที่ยวป่าเที่ยวเขา เพราะครั้งหนึ่งเราเคยเจ็บปางตาย เกือบเอาไปชีวิตไปทิ้งไว้บนเขาแห่งนั้น

แชร์เรื่องนี้

เรื่องอื่นๆ